ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2
2
หลายปีให้หลังเมื่อนึกถึงวันนั้น ซย่าชิงยวนก็ยังคงจำรายละเอียดต่างๆ ได้กระจ่าง นั่นเป็นเช้าตรู่ที่แสนธรรมดา ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ในตรอกปูพื้นหินก็มีเสียงร้องขายขนมแช่น้ำเชื่อมดังขึ้นมา ร้านตำราข้างทางก็เปิดแต่เช้า การสอบเซียงซื่อ ประจำฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาแล้ว เหล่าคนที่สมัครสอบกอดบาทพระเมื่อจวนตัว ต่างก็วิ่งมาจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อหนังสือสี่ตำราฉบับคัดลอกที่มีคำอธิบาย วันนี้ก็เป็นเช่นนั้น ฟ้ายังไม่ทันสาง ประตูร้านตำราก็มีแถวต่อยาวเหยียด ไม่ต้องถามก็รู้ว่าคนเหล่านี้ต่างเป็นเด็กรับใช้บัณฑิตที่คุณชายตระกูลต่างๆ และสำนักศึกษาส่งมาถามหาว่ามีหนังสือสี่ตำราที่คัดลอกใหม่หรือไม่
“ทุกวันนี้สอบเป็นขุนนางยากนัก ศิษย์จากตระกูลธรรมดาอย่างเราๆ คิดจะเป็นขุนนางผ่านการสอบเคอจวี่ยากยิ่งกว่ายาก!” เด็กรับใช้บัณฑิตจับกลุ่มกันสองสามคนอ้าปากหาวพลางคุยเล่นกัน
“แน่นอนอยู่แล้ว! เจียงตูรุ่มรวยมาตั้งแต่สมัยก่อน มีกวีบัณฑิตมากมายเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่สอบเข้ายากกว่าหัวเมืองทางเหนือนะ แค่สี่ตระกูลใหญ่ในเจียงจั่วอย่างสกุลซย่า สกุลเผย สกุลหลี่ กับสกุลซู แต่ละปีก็ทุ่มเงินก้อนใหญ่เชื้อเชิญขุนนางปลดเกษียณกลับบ้านเกิดให้มาสอนลูกหลานในตระกูล อาจารย์บางคนเคยรับตำแหน่งในกรมอากร เคยออกข้อสอบรอบฤดูใบไม้ผลิมาไม่รู้กี่ปีแล้ว”
“ใช่เลย! บัณฑิตจากครอบครัวจนๆ อย่างเจ้ากับข้ากอดหนังสืออ่านจนตายก็สู้ฟังบรรยายสักรอบจากอาจารย์ที่บ้านตระกูลใหญ่เชิญมาไม่ได้!”
“แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิมนะ ได้ยินว่าคำอธิบายหนังสือสี่ตำราที่ร้านนี้ขาย แต่ละวรรคล้วนตรงกับข้อสอบเคอจวี่ชุดก่อน ไม่ใช่แค่เรียบเรียงและวิเคราะห์ได้เหมาะสม แต่ยังมีข้อช่วยจำที่ใช้สีแดงเขียนให้ด้วย ยามนี้ราคาเล่มคัดลอกพุ่งกระฉูดไปนานแล้ว ถ้าวันนี้เจ้ากับข้าต่อแถวซื้อได้ก็แสดงว่าบรรพบุรุษจุดธูปไหว้พระมาเยอะ!”
ที่สุดปลายของแถวยาวมีเด็กรับใช้บัณฑิตร่างผอมเล็กเป็นพิเศษยืนอยู่ ทั้งที่อยู่ในเดือนสามอันอบอุ่นของเจียงตู แต่เด็กรับใช้ผู้นั้นยังสวมเสื้อบุนวมแล้วห่อตนเองเป็นก้อนกลม โดยไม่สนว่าจะร้อนหรือไม่ ใบหน้าที่งดงามโผล่ออกมาจากเสื้อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในมือถือถุงผ้าขาดๆ หน้าผากผุดเม็ดเหงื่อเพราะความร้อนอบอ้าว
ตอนที่ประตูร้านตำราเปิดออก เจ้าของร้านแบกแผ่นไม้ออกมาแขวนที่นอกร้าน บนนั้นเขียนอักษรตัวใหญ่ว่า
‘เล่มคัดลอกสิบเล่ม มาก่อนได้ก่อน’
ทันใดนั้นผู้คนก็แห่พุ่งกันเข้าไปที่ประตูร้าน ใช้ทั้งหมัดและเท้าเพื่อแย่งหนังสือเล่มคัดลอกสิบเล่มนั้น ถึงกับมีหลายเล่มถูกฉีกจนหน้าขาดออกระหว่างการแย่งชิง กระดาษขาวราวหิมะปลิวว่อนไปทั่วฟ้า ชักจูงให้คนที่เดินผ่านมาเข้าไปร่วมแย่งด้วย ทั้งปลุกปล้ำกระทืบเท้าและสบถสาบานด่าทอ ครึกครื้นยิ่งกว่าตลาดสด มีเพียงเด็กรับใช้บัณฑิตที่สวมเสื้อบุนวมผู้นั้นที่ยืนดูอยู่ด้านข้าง ในดวงตาเผยรอยยิ้มออกมา รอจนกระดาษแผ่นสุดท้ายถูกยื้อแย่งจนหมด ฝูงชนแยกย้ายสลายตัว เด็กรับใช้บัณฑิตถึงเดินไปข้างหน้าช้าๆ เหลียวซ้ายแลขวาอย่างมีพิรุธ แล้วเดินเข้าร้านไปอย่างรวดเร็วพร้อมส่งสายตาให้เจ้าของร้าน
เจ้าของร้านเห็นว่าเป็นเขาก็รู้ความทันที รีบเชิญเขาเข้าไปในห้องด้านในร้านแล้วปิดประตู
“คุณชายน้อย ข้าขอยกความดีความชอบให้วิธีที่ท่านชี้แนะมา ขายทีละสิบเล่ม หนังสือสี่ตำรากองพะเนินตรงนี้ไม่รู้ราคาขึ้นไปตั้งเท่าใด” เจ้าของร้านทางหนึ่งก็ยิ้มไป ทางหนึ่งก็โกยเอาเหรียญเงินในมือเก็บเข้าอกอย่างคล่องแคล่ว
เด็กรับใช้บัณฑิตร่างผอมเล็กมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ค่านายหน้า ห้าสิบตำลึง”
เจ้าของร้านแสดงใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มอีกครั้ง “คุณชายน้อย การค้าเล็กๆ ของข้า…ท่านจะเรียกเก็บถึงครึ่งหนึ่งเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง”
“สกุลซย่าแห่งตงซาน สกุลเผยแห่งไห่ซั่ง สกุลหลี่แห่งเจียงจง สกุลซูแห่งปั้นเฉิง แค่เงินที่สี่ตระกูลใหญ่นี้มาแอบถามหาหนังสือจากท่านในเดือนเดียว เท่าที่ข้ารู้ก็พันตำลึงแล้ว ยังไม่รวมค่าหนังสือที่ขายได้ในเช้าวันนี้วันเดียวอีก หลายบ้านถึงกับเปิดประมูลราคา น้ำขึ้นหนุนเรือสูง เกรงว่าอย่างน้อยก็ถึงสองร้อยตำลึง”
เจ้าของร้านกลืนน้ำลาย ที่แท้คนผู้นี้ก็คอยท่าอยู่หน้าประตูแต่เช้า ไม่ใช่เพื่อชมดูความสนุก แต่เพื่อคำนวณว่าจริงๆ แล้วเขาได้เงินไปมากน้อยเท่าใด
“คุณชายน้อย ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว แผงขายหนังสือของข้าเดินทางสุจริตมาตลอด ที่หนึ่งเล่มราคาสิบตำลึงเงินเป็นเพราะทุกคนชื่นชอบลายมือที่เป็นระเบียบของคุณชาย เหตุใดตระกูลใหญ่จะต้องทุ่มเงินก้อนโตเพื่อถามหาหนังสือพื้นๆ ทั่วไปเล่า ท่านต้องทราบว่าแอบทำข้อสอบรั่วไหลต้องโทษตัดศีรษะเชียวนะ”
เจ้าของร้านที่เห็นว่าหลอกไม่สำเร็จ ก็ทึกทักเอาเองว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้รายละเอียดของการเจรจากับตระกูลใหญ่ จึงเริ่มขู่เข็ญเขา
“หลายวันก่อนมีบ่าวรับใช้ในตระกูลใหญ่มาถามกับข้าว่าจะผูกขาดซื้อหนังสือสี่ตำราที่มีคำอธิบายทั้งหมดจากร้านท่านต้องใช้เงินเท่าใด ท่านลองทายดูว่าเขาให้เท่าใด” เด็กรับใช้บัณฑิตยังคงพูดอย่างสงบนิ่ง
“ให้เท่านี้” เขาเอ่ยต่อพลางกางนิ้วทั้งห้าและช้อนตามองเจ้าของร้าน
“ห้าร้อยตำลึงเงินหรือ” เจ้าของร้านยิ้มหยัน
ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า
เจ้าของร้านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ห้า…ห้าพันตำลึงเงิน?”
อีกฝ่ายยังคงส่ายหน้าอีกครั้ง
“ห้าร้อยตำลึงทอง” เด็กรับใช้เอ่ยขึ้นในที่สุด ในดวงตาสุกใสแฝงแววเยาะเย้ย เขาจ้องเจ้าของร้าน “ตระกูลใหญ่ไม่อยากเห็นผู้คนในเมืองเจียงตูมีของสิ่งนี้ นี่เป็นการคุกคามครั้งใหญ่ต่อการสมัครสอบของพวกเขาในปีนี้ ดังนั้นก่อนที่ทางการจะค้นพบและสืบสวนเรื่องนี้ ตระกูลใหญ่จะยอมเสี่ยงผูกขาดซื้อหนังสือสี่ตำราฉบับที่มีคำอธิบายให้หมดตลาด
เถ้าแก่ ถ้าท่านไม่ซื้อหนังสือนี้กับข้า เห็นทีจะต้องว่าจ้างคนกลุ่มหนึ่งในราคาสูงลิบเพื่อคัดลอกแล้ว แต่ท่านควรทราบว่าข้าใช้ขี้ผึ้งที่จะมองเห็นเมื่อโดนไฟทำสัญลักษณ์ไว้ในทุกหน้าเพื่อป้องกันการปลอมแปลง และท่านก็รู้ว่าถ้าตอนนี้ข้าไปแพร่งพรายกับตระกูลใหญ่ว่าหนังสือสี่ตำราฉบับที่มีคำอธิบายเล่มจริงได้หมดไปแล้ว ที่แพร่หลายในท้องตลาดเป็นเล่มปลอม หนังสือปลอมหนึ่งร้อยเล่มที่ท่านตุนไว้กับอาลักษณ์คัดลอกที่ยังไม่ได้รับค่าตอบแทนพวกนั้น จะทำให้ท่านลงทุนเสียเปล่าหรือไม่”
เหงื่อบนหน้าผากเจ้าของร้านไหลลงมาแล้ว จากนั้นเขาก็ขบฟัน เอ่ยเสียงแข็งว่า “ที่แท้ตอนเจ้าคุยการค้ากับข้าก็คิดหาทางรับมือเอาไว้แล้ว ได้ ในเมื่อเจ้าไม่ไว้ไมตรี ขะ…ข้าก็จะแจ้งทางการ! แจ้ง…”