ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2
ทว่าเขายังพูดไม่ทันจบก็กลืนคำส่วนที่เหลือลงไป พิงตัวข้างกองหนังสืออย่างห่อเหี่ยว เขาแจ้งทางการไม่ได้ การแอบขายข้อสอบมีโทษหนัก หากบอกว่าเด็กรับใช้บัณฑิตเป็นผู้ก่อเหตุหลัก เขาก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เขาคิดว่าแค่ตนไปจ้างอาลักษณ์กลุ่มหนึ่งในราคาต่ำเตี้ยก็จะไม่ถูกเด็กที่เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอกตรงหน้านี้บงการ กอบเงินก้อนหนึ่งมาแล้วก็จะเกษียณกลับบ้านเกิดไป นึกไม่ถึงว่าเด็กที่ผอมบางอ่อนแอและเจ้าแผนการนี้จะใจกล้ากว่าที่เขาคิดไว้
“เจ้าจะเอาอย่างไร ว่ามา” เจ้าของร้านก้มหน้าลง ล้วงเอาเงินถุงนั้นออกมาจากในอก “ถือว่าข้าเคราะห์ร้ายแล้วกัน นี่เป็นเงินตำลึงทั้งหมดที่ได้จากการขายหนังสือเมื่อเช้านี้ เจ้าอยากได้ก็เอาไปให้หมดเลย”
“เถ้าแก่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่อยากได้เงินเหล่านี้” เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายยังคงใสกังวาน “ที่จริงบ้านตระกูลใหญ่ไม่ได้มาถามอะไรข้า แล้วก็ไม่รู้ว่าหนังสือคัดลอกพวกนี้มาจากใคร เมื่อครู่นี้ข้าแค่ทดสอบความจริงใจในการทำการค้าระหว่างท่านกับข้า”
เจ้าของร้านพลันตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่อีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ข้ารู้ว่าเถ้าแก่เป็นคนพูดแล้วทำจริง สัญญาแล้วเป็นสัญญา ข้าเองก็ไม่อยากทำการค้ากับท่านแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วเลิกค้าขายกันไป”
เจ้าของร้านฟังแล้วในใจก็ยิ่งหวาดหวั่น คนผู้นี้พูดจาแฝงความหมายสองแง่ แต่ละคำล้วนทิ่มแทงใจเขา ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายมาขายหนังสือคัดลอกตัวคนเดียว เขาก็ทำทีเป็นตกลงค้าขายด้วย วางแผนว่าพอได้หนังสือคัดลอกมาก็จะจ้างคนให้มาคัดลอกต่างหาก จะได้เขี่ยคนผู้นี้ทิ้งโดยเบ็ดเสร็จ ตอนนี้ดูแล้วเขาทำพลาดอย่างใหญ่หลวง เด็กรับใช้บัณฑิตผู้นี้ไม่เพียงขวัญกล้าเทียมฟ้า ทั้งยังรอบคอบระมัดระวัง อ่านความคิดเขาออกอย่างกระจ่างแจ้งแต่แรก แต่กลับคงความสุภาพอ่อนน้อมกล่าววาจาซ่อนนัยต่อเขา
“คะ…คุณชายน้อยอยากทำการค้ากับข้าหรือ ขะ…ขอแค่ไม่ละเมิดกฎหมายของต้าลี่ ขะ…ข้าก็คงไม่อาจบ่ายเบี่ยง”
เวลานี้เด็กรับใช้ถึงได้กะพริบตา ส่งยิ้มมีเลศนัยให้เจ้าของร้าน แล้วก้มหน้าลง…ปลดเสื้อผ้าออก
เจ้าของร้านลนลาน หันหน้าหนีพลางโบกไม้โบกมือ “คุณ…คุณชายน้อยไม่ต้องทำถึงขั้นนี้! ข้าไม่ได้…ไม่ได้มีความชื่นชอบเช่นนี้!”
แต่เด็กรับใช้บัณฑิตไม่สนใจเขา ปลดเสื้อบุนวมที่พันตัวไว้อย่างแน่นหนาออก ควานหยิบ…ม้วนภาพนับสิบออกมาจากในเสื้อบุนวม วางลงบนโต๊ะหนังสือทีละม้วนก่อนจะเอ่ยเนิบนาบว่า “เอ้า นี่คือ…การค้าที่ข้าอยากทำร่วมกับท่าน”
เจ้าของร้านได้ยินเสียงเคลื่อนไหวบนโต๊ะก็ลืมตาที่หลับแน่นขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะเหลือบมองไปที่โต๊ะแล้วนิ่งงัน เขาเห็นท้ายกระดาษส่วนที่เว้นว่างไว้ของม้วนภาพบนโต๊ะเหล่านั้นมีตราประทับของซย่าเยี่ยน เสนาบดีฝ่ายขวาที่ถูกบุกจวนริบทรัพย์ไปเมื่อห้าปีก่อน
สกุลซย่าแห่งตงซาน ผู้นำตระกูลขุนศึกของแดนเจียงจั่ว หลังบรรพบุรุษได้เกี่ยวดองเป็นเชื้อพระวงศ์ ลูกหลานก็ได้ปักปิ่นประดับยศ ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายในคราบสามัญชน ซย่าเยี่ยนสมัยยังเยาว์วัยก่อนจะเข้าทำงานในราชสำนักให้หลิวเสวียนหลี่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็เคยเก็บตัวถือศีลบำเพ็ญพรตอยู่ในภูเขานานหลายปี สร้างชื่อไปทั่วแดนจากฝีมือวาดภาพอันล้ำเลิศ แม้หลังจากเขาตายไปและราชสำนักจะไม่ให้เอ่ยชื่อเขาอีก แต่งานเขียนพู่กันและภาพวาดที่มีตราประทับของซย่าเยี่ยนก็ยังคงมีคนแลกเปลี่ยนค้าขายอย่างลับๆ เพราะส่งต่อจากคนรุ่นเก่าลงมาน้อยมาก ยิ่งทำให้หายากแสนยาก เขาคือประมุขสกุลซย่าแห่งตงซานที่อายุน้อยที่สุด แต่เมื่ออายุสิบหกก็หักหลังวงศ์ตระกูลแล้วหันไปพึ่งหลิวเสวียนหลี่ที่ตอนนั้นยังเป็นสามัญชนรากหญ้า ถูกสกุลซย่าลบชื่อออกจากผังตระกูล ทั้งยังมีข่าวลือว่าตอนที่องครักษ์อวี่หลิงมากวาดล้างตระกูลใหญ่ของเจียงจั่วเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน คนที่ลงแรงมากที่สุดก็คือซย่าเยี่ยน
นับแต่นั้นเป็นต้นมาตระกูลใหญ่ของเจียงจั่วก็ประกาศว่าจะไม่ขออยู่ร่วมฟ้าเดียวกับองครักษ์อวี่หลิง และตั้งแต่นั้นตำนานเรื่องของวิเศษทั้งห้าตกอยู่ในมือของคนที่ฟ้าไม่ได้กำหนดไว้ก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมตรอกซอกซอย เจ้าของร้านนึกไม่ถึงว่าเด็กรับใช้บัณฑิตตัวเล็กๆ ผู้นี้จะถือผลงานของซย่าเยี่ยนเอาไว้ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีมากเพียงนี้ ดูท่าแล้วเขาไม่ใช่แค่นักต้มตุ๋น แต่เป็นมหาโจร
“นี่ๆๆ…ข้าไม่กล้ารับ”
“ภาพวาดพวกนี้…ท่านรู้จักหรือ” เด็กรับใช้บัณฑิตกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะทำหน้าตกใจ “นี่เป็นของที่ข้า…หาเจอจากศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่ง วาดได้สวยมากอย่างกับภาพของจิตรกรชื่อดัง ข้าคิดว่าบางทีท่านอาจจะรู้จักผลงานก็เลยหยิบมาให้ท่านดู”
อีกฝ่ายขยับคิ้ว นึกไม่ถึงว่าเด็กรับใช้บัณฑิตผู้นี้จะไม่รู้ที่มาของภาพวาด “ภาพ…ภาพนี่…”
เจ้าของร้านแสร้งทำท่าทีลำบากใจ สีหน้าลังเล เขาเห็นอีกฝ่ายชูนิ้วขึ้นมาห้านิ้วก็เผยสีหน้าตกใจพลางเอ่ยปาก “ห้า…ห้าพันตำลึง? แพงไปแล้วๆ”
ขณะที่พูดนั้นก็ลอบคิดคำนวณในใจ หากนี่เป็นงานของซย่าเยี่ยนจริงๆ ห้าพันตำลึงนี้ก็ใช่ว่าจะจ่ายไม่ได้…
เด็กรับใช้บัณฑิตกลับยิ้มและส่ายหน้า “ห้าร้อยตำลึง ภาพพวกนี้ค่อนข้างเก่า บางชิ้นสีซีดแล้ว ควรค่าแก่เงินมากมายเพียงนั้นที่ใดกัน”
เจ้าของร้านรีบกลบสีหน้ายินดีปรีดาเอาไว้ ตีหน้าขรึมคลี่ภาพออกทีละม้วนเพื่อพิจารณาโดยละเอียด ยิ่งดูมือก็ยิ่งสั่น ดูถึงภาพที่สามก็หลับตาลง เจียงตูเป็นเมืองหลวงเก่า มียอดคนโดดเด่นมากหน้าหลายตา มักจะมีบุตรหลานอกตัญญูลักลอบนำของมีค่าในบ้านออกมาจำนำ งานภาพวาดและงานเขียนพู่กันที่ผ่านมือเจ้าของร้านนับว่ามีอยู่ไม่น้อย พอจะดูออกว่าภาพเหล่านี้ถ้าไม่ใช่ผลงานจริงของซย่าเยี่ยน ก็ต้องเป็นฝีมือของปรมาจารย์ เพียงภาพเดียวก็มีค่าถึงพันตำลึงแล้ว
“อืม ภาพพวกนี้แม้ไม่ใช่ของล้ำค่ามีราคาอะไร แต่ถือว่าข้าให้เป็นสินน้ำใจคุณชายแล้วกัน ห้าร้อยตำลึงก็ห้าร้อยตำลึง!” เจ้าของร้านกล่าวจบก็ขบฟันแล้วคลำหาตั๋วเงินสองใบออกมาจากห้องด้านใน ส่งให้เด็กรับใช้ไปพร้อมกับเหรียญเงินถุงนั้น