ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2
อีกฝ่ายรับเงินเก็บเข้าในอ้อมอกเป็นมั่นเหมาะ เวลานี้เสื้อบุนวมตัวนั้นไม่มีม้วนภาพแล้วจึงแฟบลงไปมาก ทำให้เห็นเรือนร่างของเขาที่แต่เดิมก็เล็กบาง…เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกเท่านั้น เด็กรับใช้บัณฑิตผงกศีรษะให้เจ้าของร้านแล้วยิ้มกริ่มเดินออกไป เพิ่งจะออกนอกประตู เจ้าของร้านก็ปิดประตูอย่างแทบอดรนทนไม่ไหว กางม้วนภาพออกและตีราคาแต่ละภาพโดยละเอียด
เด็กรับใช้บัณฑิตกอดเงินในอ้อมแขน ก้มหน้าเดินออกไปนอกตรอก ดวงตามีแต่รอยยิ้ม…ไม่ใช่รอยยิ้มเยาะหยันเฉกเช่นเมื่อครู่ และก็ไม่ใช่รอยยิ้มสุภาพเสแสร้งจอมปลอม แต่เป็นรอยยิ้มจากความโล่งใจอย่างแท้จริง
สายลมอบอุ่นของเดือนสามโชยใส่นาง นางถอดเสื้อบุนวมออก สวมเพียงเสื้อเก่าขาดชั้นเดียว เดินไปข้างหน้าด้วยฝีก้าวราวเหาะเหิน นั่นเป็นชั่วครู่สั้นๆ ที่จิตใจซึ่งคอยระแวดระวังของนางผ่อนคลายลงอย่างที่น้อยครั้งจะมี จากนั้นชั่วครู่สั้นๆ นางก็ชนเข้ากับคนผ่านทางที่หัวมุมถนนเข้าเต็มๆ
อีกฝ่ายท่าทางจะเป็นผู้ฝึกวิชายุทธ์ แผ่นอกแข็งแกร่งราวแผ่นเหล็ก กระแทกจนนางเจ็บจมูก เสียดุลศูนย์ถ่วงหงายล้มไปข้างหลัง อีกฝ่ายก็ไม่มีความคิดจะช่วยพยุงเลยแม้แต่น้อย มองดูนางล้มลงไปโต้งๆ ตั๋วเงินและถุงใส่เหรียญเงินในอ้อมกอดก็ร่วงลงเต็มพื้น ระหว่างกลางคั่นด้วยภาพม้วนสุดท้ายที่เวลานี้ก็ร่วงหล่นลงพื้นเช่นกัน ม้วนภาพกางออกเผยให้เห็นมุมหนึ่งของงานวาด นางมัวแต่เก็บเงิน เก็บเสร็จค่อยพบว่าภาพกางออก จากนั้นก็สายไปแล้ว…คนตรงหน้าย่อลงมานานแล้วและจ้องภาพนั้นอย่างจดจ่อเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิด
“งานเก่าเก็บของสกุลซย่า” คนผู้นั้นเอ่ยคำเสียงชัดกังวาน เป็นภาษาทางการของทางเหนือ เขาก้มตัวลงชันเข่าข้างเดียว มือหนึ่งจับที่ขอบภาพม้วนนั้นไว้ไม่ให้ลมพัดไปไกล นิ้วมือข้อต่อกระดูกเรียวยาว ง่ามนิ้วมีรอยด้านชัดเจน เป็นมือที่จับดาบอย่างช่ำชอง
จบกัน! เหมือนจะชนเข้ากับทหารทางการเข้าแล้ว
นางตกใจชักมือที่ยื่นออกไปเก็บม้วนภาพกลับมา เพราะนางรู้ว่าการแอบครอบครองงานภาพวาดของนักโทษสกุลซย่าเป็นความผิดร้ายแรง เพียงแต่นางจะพูดอย่างไรให้คนผู้นี้เชื่อว่าภาพวาดนี้…คือของปลอมที่นางวาดขึ้นเอง
คนตรงหน้าหยิบภาพขึ้นมากางออกอย่างฉงนสงสัยและเลิกคิ้วขึ้น “ภาพวังวสันต์หรือ”
นางตกใจสะดุ้งเฮือก รีบก้มมองภาพวาดนั้น นี่ต่างหากที่เรียกว่าจบเห่ อาจเป็นเพราะก่อนออกมานางรีบร้อนจึงหยิบเอาทักษะอีกอย่างที่ปกติจะนำไปหาเงินในตลาดมืด…ภาพวังวสันต์ซึ่งปะปนเข้าไปอยู่ในกองภาพวาดเลียนแบบผลงานของซย่าเยี่ยนออกมาด้วย ที่ยุ่งยากกว่านั้นก็คือนางเผลอประทับตราของสกุลซย่าลงไปบนภาพนี้
“ภาพ…ภาพวังวสันต์อะไรกัน ใต้เท้าตาฝาดแล้ว” นางหัวเราะแห้งๆ เก็บม้วนภาพกลับมาอย่างรวดเร็ว เตรียมรวบเข้าอ้อมแขนแล้วก็จะรีบวิ่งหนีไป แต่กลับถูกเขาดึงภาพในมือกลับไปเสียก่อน
“ข้าขอซื้อ” อีกฝ่ายยื่นมือไปหาถุงเงินที่เอว ก่อนจะหยิบเงินก้อนหนึ่งส่งให้นาง
พอนางเห็นดังนั้นก็เผลอยื่นมือออกไปรับอย่างลืมตัว
ทั้งสองเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน สี่ตาประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วต่างก็ตะลึงงัน บุรุษตรงหน้าสวมชุดดำทั้งตัว ที่เอวคาดดาบงดงามและได้มาตรฐาน ดั้งจมูกสูงโด่ง คิ้วคมเข้ม นัยน์ตาดำขลับ สายตาที่มองคนจากล่างขึ้นบนนั้นราวกับดาบ ขณะกวาดไปมาบนใบหน้านาง นางก็รู้สึกว่าใบหน้ากำลังร้อนผ่าว อาศัยการมองเพียงปราดเดียวนางก็รู้ว่าคนผู้นี้นางจะล่วงเกินไม่ได้เด็ดขาด
นางกระวีกระวาดลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “มอบให้ท่านแล้ว” จากนั้นจึงหันกายออกวิ่ง ชั่วพริบตาก็หายลับไป
แต่บุรุษผู้นั้นยังคงนั่งนิ่งอยู่เนิ่นนานกว่าจะลุก พอลุกขึ้นแล้วเขายังยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยๆ แย้มยิ้มกับตนเองแล้วถึงก้าวเดิน
“ซย่าชิงยวน เจ้าจำไม่ได้จริงหรือว่าข้าเป็นใคร”
ซย่าชิงยวนในเวลานั้นไม่มีแก่ใจจะคาดเดาฐานะของชายแปลกประหลาดผู้หนึ่งเลยสักนิด ในใจนางเต็มไปด้วยการคำนวณวางแผนว่าตอนนี้หาเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางก้อนสุดท้ายมาได้แล้ว จะออกจากเจียงตูขึ้นเหนือไปที่เมืองหลวง พอเข้าเมืองหลวงแล้วต้องหาสถานที่ที่เชื่อถือได้เพื่อลงหลักปักฐาน ต่อจากนั้นก็จะเดินในเส้นทางขุนนาง รอให้ตั้งหลักในเมืองหลวงเรียบร้อยแล้วก็จะเริ่มสืบหาข้อเท็จจริงจากเหตุหายนะในครั้งนั้น แต่จะออกจากเจียงตูได้ต้องกลับไปยังบ้านเก่าหลังนั้นเพื่อขโมยของบางอย่างที่แต่เดิมเคยเป็นของนาง
เหมือนเช่นที่ผ่านมา นางทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้าไปในห้องโถงด้านหลังจากประตูข้าง ทว่าครั้งนี้กลับไม่เหมือนคราก่อนๆ นางเห็นว่าในลานของโถงกลางบ้านเต็มไปด้วยหีบไม้จันทน์ใบใหญ่หลายสิบใบวางอยู่ ทุกใบแปะกระดาษสีแดงเขียนถ้อยคำมงคล
ในตอนนี้เองสาวใช้ผู้หนึ่งเผอิญผ่านมา เมื่อเห็นว่าเป็นนางก็นิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คว้านางไว้แล้วตะโกนสุดเสียงไปทางลาน “คุณหนูซย่ากลับมาแล้ว!”
‘คุณหนูซย่า’ ตั้งแต่นางมาที่เจียงตูก็ไม่มีใครเรียกนางเช่นนี้มาก่อน สกุลซย่าสายเมืองเจียงตูของท่านป้าญาติฝั่งบิดานางได้สาบานว่าจะตัดขาดการไปมาหาสู่ตั้งแต่ตอนที่ซย่าเยี่ยนต้องโทษอาญาเมื่อห้าปีก่อน พร้อมกันนั้นก็ประกาศว่าจะจงรักภักดีต่อหานซู เพื่อแสดงความภักดีจึงเปลี่ยนแซ่เป็นแซ่หานทั้งตระกูล ถูกคนทั้งแผ่นดินเหยียดหยาม แต่ก็ปกป้องชีวิตทั้งครอบครัวมาได้ด้วยเหตุนี้ ถึงขั้นพึ่งพาสายของคนแซ่หานให้พอมีอำนาจอยู่ในเมืองเจียงตูด้วย
นางขบคิดในใจ ในที่สุดก็เข้าใจว่าสินสอดทั่วลานบ้านนี้มีไว้ให้ผู้ใด นางดิ้นหลุดจากมือของสาวใช้ พยายามหนีออกไปข้างนอกสุดชีวิต แต่บ่าวรับใช้ในบ้านต่างก็ตอบสนอง ห้อมล้อมเข้ามาสกัดทางหลบหนีของนางไว้อย่างแน่นหนา ตามติดมาด้วยเสียงกระแอมติดต่อกันจากในส่วนลึกของเรือน บ่าวรับใช้ทยอยหลบไปด้านข้าง นายของจวนกลับมาแล้ว คนผู้นั้นมีศักดิ์เป็นป้าห่างๆ ของนางนั่นเอง
สตรีผู้นั้นเดินออกมาช้าๆ จากในร่มเงาของเรือนส่วนหลัง ใบหน้าผัดแป้งหนาเตอะตามธรรมเนียมของชนชั้นสูงราวกับมีหน้ากากหนึ่งชั้นสวมอยู่บนใบหน้า ซย่าชิงยวนเหมือนจะไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางมาก่อน หญิงนางนั้นยืนอยู่กลางลานบ้าน นางจ้องตากับซย่าชิงยวน ทันใดนั้นก็ย่อกายคำนับ การคารวะนี้ทำให้คนในจวนทั้งบนและล่างแตกตื่น ทยอยกันคารวะตาม ชั่วพริบตาก็คุกเข่าลงไปทั่วทั้งลาน
“ขอแสดงความยินดีกับคุณหนู เวลานี้ได้แต่งกับคนสูงศักดิ์ ตระกูลของใต้เท้าลู่เป็นขุนนางมาหลายชั่วรุ่น แต่นี้ไปบ้านข้าก็มีที่พึ่งแล้ว”
ซย่าชิงยวนมีสีหน้าซับซ้อน จากขุ่นเคืองกลายเป็นหัวเราะ “ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อมาเอาของ หานฮูหยินพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนั้นถูกคำเรียกขานว่า ‘หานฮูหยิน’ ทิ่มแทงจนเจ็บปวด มีแต่บุตรหลานกตัญญูของพระเก้าพันปีเท่านั้นที่จะถือเป็นเกียรติ
แม้นางจะลืมไปหลายเรื่อง แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยละทิ้งเกียรติยศในวันเก่าๆ ของสกุลซย่าแห่งตงซาน นางแค่นเสียงเย็น มองซย่าชิงยวนอย่างเยาะหยัน “น่าเสียดาย เรื่องนี้เจ้าทำอะไรไม่ได้ ใต้เท้าลู่ผู้นี้อย่างไรก็เป็นเจิ้นกั๋วกงที่องค์เหนือหัวทรงแต่งตั้ง ถึงเจ้าจะมีโทษติดตัว เป็นนางทาสชั้นต่ำ ไม่คู่ควรกับสามีสูงศักดิ์ แต่ถ้าใต้เท้ายินยอมมาสู่ขอ ข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้”
ซย่าชิงยวนใจสั่นสะท้าน นางมองไปยังหีบไม้จันทน์ใบใหญ่เหล่านั้น บนแถบสีแดงนั้นเขียนด้วยผงทองว่า
‘พระราชทานแก่เจิ้นกั๋วกง ขุนนางขั้นสามผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลิง ลู่ติ้งเจียง’
“ลู่ติ้งเจียง…ลู่หย่วน?”