ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2
บทที่ 1-2 แต่งงานกับพญายม
ห้าปีก่อนซย่าชิงยวนล้มป่วยหนัก เมื่อฟื้นขึ้นมาก็มาอยู่ที่เจียงตู ได้ยินว่าถูกทิ้งไว้ที่หน้าประตูจวนสกุลซย่า ถูกท่านป้ารับเลี้ยงไว้ด้วยความ ‘ปรารถนาดี’ นอกจากนางจำได้ว่าตนชื่อซย่าชิงยวน เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนลืมสิ้น หลายปีมานี้นางอยู่เจียงตูก็ไถ่ถามไปทั่ว ค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องในอดีตเกี่ยวกับขุนนางต้องโทษซย่าเยี่ยนจากคำบอกเล่าของผู้อื่นได้ทีละนิด ได้ความว่าตอนนั้นบิดานางกับแม่ทัพลู่ถิงยวนเป็นสหายเก่าแก่ที่มิตรภาพลึกซึ้ง แล้วลู่ถิงยวนยังมีบุตรชาย ได้ยินว่าชื่อลู่หย่วน ว่ากันว่าทั้งสองตระกูลเคยดีต่อกันอย่างยิ่ง เคยเป็นสหายร่วมศึกที่ยอมร่วมเป็นร่วมตายในสมรภูมิ และไม่แน่ว่านางกับลู่หย่วนอาจเคยมีวาสนาได้พบพานกันอยู่หลายครั้ง แต่แล้วเมื่อห้าปีก่อนซย่าเยี่ยนก็ยื่นฎีการ้องเรียนว่าลู่ถิงยวนเป็นกบฏ ทำให้ลู่ถิงยวนตัดศีรษะฆ่าตัวตายตามรับสั่งของฮ่องเต้ ลู่หย่วนก็ถูกลากเข้าไปพัวพัน โดนเนรเทศไปไกลถึงพันหลี่ สหายร่วมศึกในอดีตกลายเป็นศัตรูเก่งกล้า หากคนสกุลลู่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงต้องมาแก้แค้นกับนางแน่นอน
บางครานางก็นึกคิดว่าลู่หย่วนจะหน้าตาเป็นอย่างไร นิสัยใจคอดีหรือไม่ ในเมื่อแต่ก่อนสองตระกูลก็เคยดีต่อกัน บางทีพวกเขาอาจเคยพบเจอกันเป็นครั้งคราว นางได้ยินว่าแม่ทัพลู่ซื่อตรงโปร่งใสมาทั้งชีวิต เป็นวิญญูชนผู้หนึ่ง แสดงว่าลู่หย่วนก็อาจจะเป็นคนดี วันนี้เขามาปรากฏตัวจริงๆ แล้ว แต่ใจของนางเหมือนร่วงลงไปในโพรงน้ำแข็ง
ลู่หย่วนไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังรับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลิงที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ กลายเป็นขุนนางหน้าใหม่ในราชสำนักที่ร้อนแรงโชติช่วงของเมืองหลวง วันนี้เขามาเยือนเจียงตูด้วยตนเองและเจาะจงชื่อแซ่ว่าจะสู่ขอนาง นี่หมายความว่าอย่างไร แน่นอนว่าความผิดย่อมมีผู้ก่อ หนี้สินย่อมมีผู้กู้ ยามนี้เขาต้องการใช้อำนาจซื้อชีวิตนาง
ขณะที่นางกำลังยืนตะลึงลานอยู่กับที่ ด้านหลังก็มีเสียงคนเมาดังมา เป็นญาติผู้พี่ของนาง และเป็นฝันร้ายที่นางคอยหลีกหนีมาตลอดนับแต่มาอยู่เจียงตู
“นางแพศยา นึกว่าสี่ปีก่อนเจ้าจะตายไปแล้ว ดันอยู่มาถึงทุกวันนี้ อย่าคิดนะว่าวันนี้ไต่เต้าเข้าสกุลลู่ได้แล้วก็จะเปลี่ยนจากนกกระจอกเป็นนางหงส์ ใต้เท้านั่น คนที่เมืองหลวงเรียกกันว่าเป็น ‘มัจจุราชหน้าหยก’ ผู้บัญชาการองครักษ์อวี่หลิงที่คอยคุมคุกหลวง เจ้ายิ่งเป็นคู่แค้นของสกุลลู่ แต่งเข้าไปคงจะมีชีวิตแบบขออยู่ไม่สู้ตาย ขอตายก็ไม่อาจเสียมากกว่า หากกลัวแล้วล่ะก็ คุกเข่าขอร้องให้ข้ารับเจ้าเข้าเรือนยังทัน!”
ซย่าชิงยวนยืนอยู่ในลาน ลมเดือนวสันต์พัดผ่านเสื้อชั้นเดียวเก่าขาดของนาง ในอ้อมแขนยังถือตั๋วเงินสองใบกับถุงเงินไว้อยู่ ครึ่งชั่วยามก่อนนางยังนึกอย่างไร้เดียงสาว่าแต่นี้ไปนางจะเป็นอิสระแล้ว ในลานบ้านที่ใหญ่โต ทุกคนต่างเห็นว่านางต้องแต่งให้กับลู่หย่วนเป็นแน่แท้ แต่ก็ไม่ยอมเอ่ยออกมาแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านางแต่งเข้าสกุลลู่ไปแล้วจะมีจุดจบอย่างไร และคนผู้เดียวที่พูดความจริงออกมาก็เพียงเพื่อจะลากนางลงนรกขุมที่ลึกกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ เพียงแต่ไม่สนใจ หัวใจของซย่าชิงยวนค่อยๆ เหน็บหนาว จับตัวเป็นผลึกน้ำแข็ง นางเผยอปากออกแต่ก็ไร้คำพูดใดจะกล่าว ผ่านไปเนิ่นนานนางถึงเปิดปากเอ่ยราวกับวิญญาณหลุดลอย
“งานแต่งนี้ ข้ารับปาก”
นางได้ยินคนเบื้องบนเบื้องล่างทั้งลานลอบถอนหายใจโล่งอก
“แต่ก่อนจะตบแต่ง ข้ามีคำขอสุดท้าย วันนี้ข้าจะไปวัดจิ้งฮุ่ยที่ชานเมืองตะวันตก…จุดธูปขอพร”
วัดโบราณที่ทางชานเมืองตะวันตกเป็นวัดทางพุทธที่มีชื่อเสียง ตัววัดตั้งอยู่กลางป่าเขา แต่ที่เชิงเขาเป็นย่านพลุกพล่านที่เชื่อมต่อตรงไปยังจวนว่าการของเมือง เจริญอย่างยิ่ง หลังนางก้าวเข้ามาในจวนก็ยากจะหนีออกไป ได้แต่อาศัยตอนที่จุดธูปไหว้พระหนีไปหลังเขาแล้วค่อยคิดหาวิธีปลอมตัวออกจากเมืองเจียงตู แต่ของสิ่งนั้นที่เมื่อแรกนางคิดจะมาเอาคืนเกรงว่าคงต้องหาโอกาสอื่นแล้ว และบางทีนางอาจไม่ได้คืนไปตลอดกาล
ก่อนออกจากจวนท่านป้าเหมือนจะรู้ทันแผนการของนาง จึงจงใจส่งรถติดตาม บอกว่าเพื่อคุ้มครองแต่แท้จริงเพื่อเฝ้าคุม เพื่อคลายความระแวงของท่านป้านางยังขอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอย่างคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ เกล้ามวยผมปักปิ่นสีชาด ทำทีว่าเต็มใจตกปากรับคำการแต่งงานในครั้งนี้
หลังซย่าชิงยวนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายก็เผยโฉมออกมา นี่ทำให้คนในจวนทั้งบนและล่างต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบ ลอบคิดในใจว่าอีกฝ่ายเป็นดั่งหยกงามคลุกฝุ่น น่าเสียดายที่ปล่อยให้นางซุกซ่อนความงามนี้มาเป็นเวลาหลายปีเสียได้
ระหว่างการเดินทางไปวัดจิ้งฮุ่ยนางระแวดระวังมาโดยตลอด เคราะห์ดีที่กระทั่งเข้าไปในวัดแล้วก็ไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ผู้ดูแลคนเก่าที่ปกตินางเจออยู่เป็นประจำวันนี้กลับไปนั่งกรรมฐาน คนที่มารับพวกนางจึงเป็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งไม่รู้จักกันมาก่อน
หลังนางก้าวเข้าไปในวิหารหลักก็หาข้ออ้างออกจากสายตาของท่านป้า เดินวนเวียนอยู่ในวิหารเป็นเวลาครึ่งก้านธูป* จากนั้นก็ลุกไปที่ข้างหลังวิหาร
สิ่งที่นางไม่ได้สังเกตก็คือที่ไม่ไกลจากนางมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ในมุมส่วนที่มืดมิดของวิหารหลัก เขาสวมชุดดำทั้งตัว ดาบประจำตัวที่ข้างเอวทอประกายในที่มืด พอนางก้าวเท้าเดินออกไปแล้ว เขาก็รีบเดินตามติด
ตลอดทางที่นางเดินนั้นผ่านห้องนั่งกรรมฐานที่ลดเลี้ยวซับซ้อนข้างหลังวิหาร เวลาแต่งเป็นบุรุษออกมานอกจวนนางมักจะชอบไปนั่งเหม่อมองทิวทัศน์ที่หลังภูเขา จึงเดินได้อย่างชำนาญทาง
แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ซย่าชิงยวนพลันพบว่าฝีเท้าตนเองหนักอึ้งขึ้นอย่างมาก ศีรษะก็หนักหน่วงวิงเวียน หายใจหอบโดยไม่มีสาเหตุ จนเมื่อแข้งขาอ่อนยวบเดินไม่ได้อีกต่อไป นางถึงมารู้ตัวทีหลังว่าธูปที่จุดในวิหารหลักนั้นมีปัญหา มีคนมาที่นี่ก่อนนาง จัดวางทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว และรอให้นางมาติดกับ