4
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ฤกษ์มงคลมาถึงแล้ว
ระหว่างที่ฝูงชนพูดคุยกันไป ลู่หย่วนที่สวมชุดแต่งงานสีแดงสดก็ออกเดินทางตรงมาจากจวนว่าการเมืองเจียงตู ขี่ม้าตัวสูงใหญ่มุ่งหน้าไปยังจวนสกุลซย่าด้วยความฮึกเหิมเปี่ยมพลัง เขามองไปรอบข้างอย่างสงบสุขุม นั่งตัวตรง คิ้วตาชัดเจน ดั้งจมูกสูงโด่ง รูปลักษณ์ผสมระหว่างจุดเด่นของชาวจงหยวนกับชาวโม่เป่ยนี้ แม้ไม่สวมชุดแดงก็ดูสะดุดตาท่ามกลางฝูงชน บรรดาหญิงสาวที่มามุงดูอดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ ช่างเป็นบุรุษที่รูปงามเสียจริง ทั้งยังสูงส่งหาตัวจับยาก ยังเยาว์วัยและสูงศักดิ์ ราวกับไม่มีอยู่จริงบนโลกมนุษย์ เสียดายที่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ รูปลักษณ์ภายนอกยิ่งหล่อเหลาปานใด น่ากลัวว่าจิตใจจะยิ่งอำมหิตไปด้วยปานนั้น
ยามโพล้เพล้ บรรดาแขกเหรื่อในงานเลี้ยงนั่งเก้าอี้ยังไม่ทันอุ่นก็ถูกเชิญให้กลับบ้าน ลานหลังบ้านจึงเหลือเพียงผ้าแพรต่วนสีแดงสดที่ว่างเปล่ากับโคมไฟกระดาษสีชาดแขวนไว้ตามคานห้องแกว่งไกวอย่างสงบเสงี่ยม คั่นจากลานหลังบ้านด้วยทะเลสาบ ในศาลาฝั่งตรงข้ามกับสวนดอกไม้ยังคงมีการขับร้องละคร
เจ้าบ่าวลู่หย่วนสวมชุดพิธีการสีแดงสด จอนผมดำขลับกับใบหน้าแดงปลั่ง นั่งตัวตรงดื่มสุราที่ฝั่งตรงข้าม รูปงามกว่าตัวพระหนุ่ม ในละครเสียอีก
คณะละครแสดงเรื่อง ‘ศาลาขอจันทร์’ เล่าเรื่องของชายหญิงคู่หนึ่งในสมัยกลียุคที่มาหลบฝนใต้หลังคา ภายหลังก็ตัดสินใจจะอยู่กินกันฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้บอกครอบครัว มือซ้ายของลู่หย่วนถือจอกสุรา มือขวาซ่อนอยู่ในช่องแขนเสื้อ ชายแขนเสื้อมีคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนจากตอนที่อยู่ในคุกหลวงเมื่อครู่ผสมกับสีชุดแต่งงานกลายเป็นสีแดงเลือดหมู
แสงสายัณห์สุดท้ายเลือนหายไป ตัวพระหนุ่มกับตัวนางชุดคราม โอบกอดกันและค่อยๆ ถอยออกจากฉากไป
ลู่หย่วนเงยหน้าขึ้น ดื่มสุราหยดสุดท้ายในจอก แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โถงด้านหลัง
เทียนแดงในโถงด้านหลังสว่างอย่างยิ่ง ลู่หย่วนก้าวเดินอย่างเชื่องช้า
ที่วัดโบราณเมื่อคืนนี้เขามึนหัวเล็กน้อย เห็นนางเดินตัดแสงเข้ามาในวิหารพระ รองเท้าปักลายดอกไม้ เครื่องประดับห้อยทอง ทั้งตัวสวมชุดอย่างหญิงสาวสูงศักดิ์ทั่วไป ถ้าก่อนหน้าวันนั้นไม่ได้บังเอิญเห็นนางใส่ชุดเก่าขาดคร่ำคร่า แต่งกายเป็นบุรุษต่อรองราคากับคนที่ข้างถนนอย่างช่ำชองราวกับอันธพาลข้างทาง เขาคงเชื่อจริงๆ ว่าซย่าชิงยวนใช้ชีวิตในเจียงตูสุขสบายดี ดังคำกล่าวว่าใจขลาดเขลาเมื่อใกล้ภูมิลำเนา เขานึกไม่ถึงเลยว่าซย่าชิงยวนจะลืมเขาไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่โอกาสให้เขาได้ขลาดกลัว สิ่งที่เคยคิดไว้ว่าเป็นวาสนาดีงาม มาตอนนี้กลับกลายเป็นการบีบบังคับ จู่ๆ เขาพลันปวดศีรษะขึ้นมา เขากุมศีรษะนึกถึงภาพในอดีตขึ้นมาทีละฉาก
เกสรดอกไม้ที่ไหวระริก ปลายผมที่ชื้นเหงื่อของหญิงสาว เสียงจักจั่นร้องที่นอกหน้าต่างในเทศกาลต้นฤดูร้อน กระดาษที่เขียนตัวอักษรไว้ครึ่งหนึ่งถูกปัดตกพื้นส่งเสียงดังแควก กระดาษนั้นฉีกขาดแล้ว…
นางควบม้าข้ามผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน ยื่นมือมาทางเขา ฉุดดึงเขาออกจากความตาย
นางส่งลูกแมวให้เขาอุ้ม บอกว่าต่อจากนี้ก็มีคนในครอบครัวแล้ว
นางยื่นกิ่งดอกท้อที่มีน้ำค้างจับส่งให้เขา บอกว่าคนที่นางชอบมาตลอดก็คือเขา
ภาพเลือนหายไปทีละฉาก เขาตกลงสู่ความมืดมนอนธการไร้ที่สิ้นสุดอีกครั้ง บนพื้นหิมะที่เหน็บหนาวเข้ากระดูก เขาย่ำเข้าไปในเมืองร้างตามลำพัง หัวเข่าชาจนไม่เหลือความรู้สึก ในความรับรู้เพียงหนึ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ เขานึกถึงความสว่างสดใสของฤดูใบไม้ผลิที่เมืองหลวง นึกถึงใบหน้าเจือรอยยิ้มของนาง ดังนั้นจึงขบฟันดึงขาออกมาจากพื้นหิมะ ตะเกียกตะกายขยับร่างกายส่วนที่เหลือลากมาถึงหน้าประตูเมืองในที่สุด ประตูเปิดเสียงดังเอี๊ยด ภายในเมืองเต็มไปด้วยซากศพ เขามองไปรอบๆ ร้องตะโกนเรียกชื่อนาง แต่ไม่มีใครขานรับ
ที่แท้สิ่งที่เรียกว่านรกอเวจีก็เป็นแค่เมืองร้างแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง
ความทรงจำพลัดกระจายไป ลู่หย่วนรวบรวมเรี่ยวแรงสงบสติอารมณ์ ก้าวยาวๆ ออกเดินไปยังห้องที่มีเทียนไขแดงจุดอยู่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 พ.ย. 67