ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3
“ในเมื่อใต้เท้าลู่ไม่ได้ใฝ่หาในตัวข้า แล้วเหตุใดที่วัดโบราณเมื่อคืนนี้ถึงได้…” พอนึกมาถึงตรงนี้นางก็กระจ่างขึ้นมาทันที นัยน์ตาทอแววเย็นชาเยาะหยัน “ดูท่าใต้เท้าลู่ก็เป็นเฉกเช่นบุรุษทั่วๆ ไป ขอเพียงสตรีมาเยือนถึงที่ก็ไม่ละเว้น”
“ไม่ใช่นะ ข้า…” เขาขบฟัน มองไปที่นาง “เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งพูดไป ห้าปีก่อนข้าถูกพิษหนอนคุณไสยที่แดนโม่ซี”
“พิษหนอนคุณไสย?” นางฉงน
“ใช่” เขากระแอมขึ้น “พิษนี้แม้ไม่พรากชีวิต แต่ก็ไม่อาจถอน เมื่อออกฤทธิ์จะหนาวยะเยือกไปทั่วร่าง เจ็บปวดเข้ากระดูกแขนขาทุกองคาพยพ จำต้องอยู่ร่วมในสถานที่เดียวกันกับผู้อื่น ให้ผิวหนังได้สัมผัสกันถึงจะบรรเทาได้”
เขาโคนหูแดงก่ำ อธิบายต่ออย่างตั้งใจว่า “เมื่อก่อนในยามออกฤทธิ์ก็ไม่เคยหาวิธีบรรเทาพิษได้มาก่อน เมื่อคืนนี้อยู่กับเจ้า…ถึงได้รู้”
นางฟังเข้าใจครึ่งๆ กลางๆ ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ แต่ลู่หย่วนกลับมีสีหน้าจริงจัง
“เพราะฉะนั้นเมื่อคืนนี้เจ้าก็ช่วยชีวิตข้าไว้ เรื่องที่ข้าช่วยเจ้าเมื่อคืนนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทดแทนอะไรแล้ว”
ซย่าชิงยวนฟังลู่หย่วนอธิบายจนไม่มีคำโต้แย้งใดอีก
ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงค่อยพยักหน้าอย่างจำยอม
ลู่หย่วนลอบถอนใจโล่งอกกับตนเอง แล้วก็เห็นนางลากเก้าอี้โน้มเข้าหาเขา เอ่ยตะกุกตะกักว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้าขอบังอาจขอร้องใต้เท้าลู่เรื่องหนึ่ง”
เขาหนังตากระตุก เกิดลางสังหรณ์อัปมงคล หรี่ตามองนาง “ว่ามา”
“ได้ฟังใต้เท้าลู่เมื่อครู่ ใต้เท้าสู่ขอข้าเป็นแผนการเฉพาะหน้า ข้าแต่งให้ท่านก็เพราะไม่อาจทำอะไรได้ ในเมื่อท่านกับข้าไม่ได้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน เช่นนั้นไม่สู้…ต่างฝ่ายต่างตักตวงผลประโยชน์เสียเล่า”
สีหน้าลู่หย่วนเปลี่ยนจากสดใสเป็นหมองคล้ำแล้วก็เปลี่ยนเป็นสดใสอีกครั้ง เขาอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง สุดท้ายก็เอ่ยถามนาง “อะไรคือต่างฝ่ายต่างตักตวงผลประโยชน์”
นางเห็นสีหน้าเขาใช่จะไม่ยินดี ก็พูดต่อไปอย่างกล้าหาญ ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “ข้ามีเงื่อนไขสองข้อ”
เขาเท้าคางมองนาง รู้สึกสนใจมากขึ้นกว่าเดิม “นั่นคือ?”
ซย่าชิงยวนกระแอมคราหนึ่งก่อนเอ่ย “ข้อแรก ในเมื่อใต้เท้าลู่ยอมปกป้องข้า เช่นนั้นข้าก็ยอมอยู่กับท่าน อยู่ข้างนอกเสแสร้งเป็นสามีภรรยาจริงๆ ปกติใต้เท้าลู่จะนั่งนอนหรือทำอันใด ข้าจะไม่ก้าวก่ายแม้แต่น้อย แค่ในวันที่ไม่มีกิจธุระใด ข้าอยากขอให้ใต้เท้าลู่อนุญาตให้ข้าแต่งกายเป็นบุรุษ…ออกนอกจวนไปสืบคดี”
เขาใช้นิ้วหมุนจอกอย่างครุ่นคิด “เจ้าจะสืบคดีอย่างไร”
“นี่คือเงื่อนไขข้อที่สอง คิดว่าใต้เท้าคงได้เห็นที่ตรอกหนังสือเมื่อหลายวันก่อนแล้ว เพื่อประทังชีวิตอยู่ในเจียงตูห้าปีมานี้ ข้าเรียนรู้…วิชาฝีมือมาไม่น้อย ขอเพียงเป็นเรื่องที่ทำได้ก็จะทำตามที่ใต้เท้ามอบหมาย แต่ต้องทำตามกฎของบ่าวรับใช้ในจวน จ่ายเงินให้ข้าทุกเดือนเป็นพอ”
นางหยุดไปสักพักก็มองไปที่เขาตรงๆ แล้วเสริมอีกประโยค “เรื่องเมื่อห้าปีก่อนใต้เท้าก็อยากทราบความจริงใช่หรือไม่ ตอนนี้คนที่รู้เรื่องคดีก็ตายไปแล้วเป็นจำนวนมาก ข้าคือพยานเพียงหนึ่งเดียว ทั้งยังสามารถใช้ข้าเป็นหมากในการโค่นล้มพระเก้าพันปี แก้แค้นให้ใต้เท้าลู่ แทนที่จะทิ้งไป มิสู้เก็บไว้ใช้งานดีกว่า ใต้เท้า ท่านว่าถูกต้องหรือไม่”
ดวงตานางสว่างสุกสกาว เปล่งแสงที่ทำให้เขาไม่กล้าจ้องโดยตรง
ลู่หย่วนยังไม่ทันตอบคำ เพียงควานหยิบม้วนภาพจากในอกออกมาโยนลงบนโต๊ะ เปลี่ยนเรื่องเป็น “วิชาฝีมือที่แม่นางซย่าพูด หมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่”
นั่นเป็นภาพวังวสันต์ที่เขาเก็บได้ก่อนหน้านี้ ซย่าชิงยวนลนลานคว้าเอาไป “ข้าก็…ก็ไม่ได้วาดเป็นประจำ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝีมือในการคัดลอกภาพวาดของเจ้าแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป” น้ำเสียงของลู่หย่วนเปลี่ยนเป็นจริงจังอีกครั้ง
“รู้ ดวงตาจิตรกรรมของสกุลซย่า ไม่ใช่หนึ่งในของวิเศษห้าอย่างหรอกหรือ หนังสือเรื่องเล่าของเจียงตูมักพูดถึง นึกไม่ถึงว่าใต้เท้าลู่ก็เชื่อด้วย” นางมองเขาอย่างแคลงใจ กลับทำให้ลู่หย่วนจุกจนพูดไม่ออก
“ฝีมือของข้าแปลกประหลาดจริง เรื่องอื่นล้วนลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว มีเพียงสิ่งนี้ที่ยังจำได้ อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนข้ามักจะฝึกฝนอยู่บ่อยๆ จรดพู่กันแล้วยังจำได้ว่าต้องวาดอย่างไร แต่นอกจากการที่วาดอะไรก็เหมือนแล้ว ส่วนอื่นก็ไม่มีอะไรพิเศษอีก”
นางพูดไปเรื่อยเปื่อย แต่เมื่อก้มหน้าก็เห็นว่าบนภาพมีรอยเลือด จากนั้นนางก็มองไปเห็นแผลที่มือของเขา แววตาพลันร้อนรนขึ้นมา “ท่านบาดเจ็บมาหรือ”
ลู่หย่วนเก็บมือกลับไป “ไม่มีอะไร แค่ทำถ้วยชาแตก”
นางมุ่นคิ้วผุดลุกขึ้น หยิบขี้ผึ้งออกมาจากโต๊ะเครื่องแป้งแล้วเดินย้อนกลับมายกมือเขาขึ้น บรรจงทาอย่างระมัดระวัง
ลู่หย่วนกระแอมขึ้นมาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง “มีอะไรอีกหรือไม่”
กลิ่นยาหอมอวลไปทั่วห้อง ซย่าชิงยวนทาอย่างตั้งใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาถามอะไร นางส่ายหน้าเอ่ย “ไม่มีแล้ว”
“แค่นี้เองหรือ” ลู่หย่วนก้มลงมา เห็นบนศีรษะนางปักปิ่นหงส์ ลำคอขาวสะอาดโผล่พ้นสาบเสื้อ ปลายผมเกี่ยวติ่งหู นางยกมือมาเหน็บผมไว้ที่หลังหูแต่ก็เหน็บไม่อยู่ ลู่หย่วนจึงยื่นมือไปช่วยนาง มือนางจับเข้ากับมือเขา ทั้งสองชะงักไปในพลัน ภาพฉากในเวลานี้ราวกับต้องมนตร์…ทั้งสองเป็นคู่สามีภรรยากันจริงๆ
“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าอยู่ข้างนอกให้แสร้งเป็นสามีภรรยากัน แล้วยามอยู่ในจวนเล่า เจ้ากับข้าแต่งงานกันแล้ว เจ้าคิดจะปฏิบัติต่อข้าอย่างไร ผู้แซ่ลู่เฝ้าชายแดนมานานปี ความประพฤติหยาบกร้าน หากกระทำการเสียมารยาทล่วงเกินเจ้า…เจ้าจะทำอย่างไร” เขาดื่มไปหลายจอกแล้ว เวลานี้สายตาที่มองนางก็ซุกซนขึ้นมา เทียนไขส่องลงบนชุดแต่งงานสีแดงสดที่ซ่อนดิ้นทองปักเป็นลายมังกรมัจฉาของเขาจนมันวาวเลื่อมพราย อีกทั้งดวงตาคมกริบดุร้ายที่กระโจนออกมาจากร่างที่สุขุมสง่างามก็ทอประกายอย่างพยศป่าเถื่อน
นางรีบปล่อยมือลู่หย่วนออก หนีห่างไปสามฉื่อ* “ท่านอย่าเข้ามานะ! ถ้าท่านเข้ามาอีกล่ะก็…ข้าจะสู้แลกชีวิตกับท่าน!”
“เมื่อวันก่อนเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้” ลู่หย่วนก้มลงจัดแขนเสื้อ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วขยับเข้าหานาง กดคิ้วลงพินิจพิจารณาสีหน้านาง
“ที่วัดโบราณเมื่อวันก่อน เจ้ายินดีเป็นอย่างมากที่จะ…อยู่กับข้า”
“ตะ…ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร” นางถอยไปข้างหลัง ในใจคิดว่าถ้าลู่หย่วนขยับเข้ามาอีกนิดเดียว นางก็จะร่วงลงจากเก้าอี้แล้ว
“อ้อ แสดงว่าถ้าข้าไม่ใช่ลู่หย่วนแต่เป็นคนอื่น เจ้าก็จะไม่รักษามารยาทแล้ว?”
ลู่หย่วนยื่นมือข้ามไหล่นางไปเหมือนตั้งท่าจะโอบกอด นางผวาหลับตาลง แต่แล้วเขาก็แค่ยื่นมือไปหยิบยาที่วางอยู่ข้างหลัง พอเห็นนางหลับตาปี๋เขาก็หัวเราะแล้วตบไหล่นางเบาๆ ทำเอานางตกใจสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเอ่ยวาจาหยอกล้อว่า “ขี้กลัว” แล้วก็ลุกขึ้นถอดชุดแต่งงานสีแดงชาดออก ข้างในยังคงสวมเสื้อตัวในธรรมดาทั่วไป
วันนั้นนางวิงเวียนศีรษะ มองเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าไร มาวันนี้ในที่สุดก็เห็นชัดแล้ว
เขา…รูปร่างไม่เลวเลยจริงๆ
นางท่องในใจว่าสิ่งที่เห็นล้วนเป็นอนัตตา ชายงามตรงหน้าเป็นบุคคลอันตรายที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่ใช่คนที่นางจะหลับนอนส่งเดชด้วยได้
ลู่หย่วนไม่สนใจนาง เดินตรงเข้าไปในห้องนอน คลี่ผ้านวมสีแดงสดออก เอนนอนลงไปโดยไร้เสียง
“อย่าลืมดับไฟเล่า” เขากำชับทีหนึ่งแล้วหลับตาลงจริงๆ
นางนั่งตัวแข็งที่หน้าโต๊ะอยู่เป็นนาน ก่อนจะถอนใจเบาๆ จากนั้นก็หยิบผ้านวมผืนบางจากตู้ไม้จันทน์ออกมาปูบนพื้นอย่างเบามือเบาเท้า ถอนปิ่นบนศีรษะออกแล้วนอนไปทั้งชุดนั้น
ผ่านไปไม่นานลู่หย่วนลืมตาขึ้น เห็นคนบนพื้นขดเป็นก้อนกลมห่อตัวอยู่ในผ้านวม นอนเหมือนเป็นกระสอบ เขามองนางเงียบๆ สักพัก จากนั้นก็ลงจากเตียงมาอุ้มนางขึ้นอย่างระมัดระวัง วางลงบนเตียงแล้วเก็บมุมผ้านวมให้
วันรุ่งขึ้นซย่าชิงยวนตื่นขึ้นมาพบว่าตนอยู่บนเตียงก็ผวาผุดลุกขึ้นนั่ง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาลู่หย่วน
เวลานี้เองม่านประตูก็เลิกขึ้น ลู่หย่วนที่เหมือนดั่งคนในภาพวาดสวมชุดปกติเดินเข้ามา ยิ้มอย่างอบอุ่นราวกับอาบไล้ด้วยลมวสันต์ เห็นนางนั่งเหม่อมองก็ถามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ตื่นแล้วหรือ”
นางตบหัวใจที่อกสั่นขวัญผวา “ท่าน…เมื่อคืนนี้ท่านทำอะไร”
“จะทำอะไรได้ แค่เห็นว่าเจ้าน่าสงสาร เลยย้ายเจ้าขึ้นไปนอนบนเตียง” ว่าแล้วเขาก็กล่าวเสริมเติมแต่ง “คุณหนูซย่าหลับได้น่าเกลียดยิ่งนัก ข้าทนมองไม่ได้จึงไปนอนที่ห้องข้าง”
ว่าแล้วเขาก็หยิบอ่างทองแดงมาเทน้ำใส่ จากนั้นก็ล้างหน้า
นางลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขอบคุณเบาๆ
“ขอบคุณเรื่องใด” น้ำใสไหลลงมาตามคางของเขาแล้วเลาะแนวกระดูกไหปลาร้าเข้าไปในสาบเสื้อ ทำเอานางมองจนหน้าแดง
“ก่อนหน้านี้ข้าชินกับการนอนบนพื้น แทบจะลืมไปว่า…การนอนบนเตียงเป็นความรู้สึกอย่างไร” นางกอดผ้านวมนั่งที่หัวเตียง หัวเราะอย่างโง่งม “ใต้เท้าลู่ เหมือนว่าที่จริงแล้วท่านจะเป็นคนดี”
การเคลื่อนไหวของลู่หย่วนที่กำลังถือผ้าเช็ดมือสะอาดหยุดชะงักไป มือข้างที่จับอ่างทองแดงไม่ขยับ ใบหน้าเดี๋ยวพร่าเลือนเดี๋ยวกระจ่างอยู่ในน้ำเหมือนกำลังยิ้ม
“เงื่อนไขที่เจ้าเสนอเมื่อคืนนี้ข้าจะรับไว้ เจ้ากับข้าแสร้งเป็นสามีภรรยาเช่นนี้ก็ดี” เขาเช็ดมือ หันไปเลิกม่านขึ้นแล้วเดินออกไป