เขาอยากบอกเหลือเกินว่า ‘มีแขกอุปถัมภ์เนืองแน่นชายคา’ ไม่ได้ใช้ในบริบทนี้ แต่พอเห็นดวงตาแดงก่ำที่แสนเด็ดเดี่ยวของนางก็เงียบไป
“ข้า…” ชายหนุ่มกระแอม รู้สึกประหม่าชอบกล “ไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“แล้วท่านหมายความเช่นไร”
เขาโต้ตอบไม่ออก
บรรยากาศตกอยู่ใต้ความเงียบงัน
สักพักใหญ่ให้หลัง อวี้หมี่ก็สูดจมูกแล้วใช้แขนเสื้อถูหน้าอีกครั้ง จะเอาความอาภัพขมขื่นที่ประสบมาชั่วชีวิตระบายใส่เขาก็ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรม นางตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ท่านไม่เข้าใจหรอก เสี่ยวเหลียงเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของข้า ขะ…ข้าไม่ห่วงเขาไม่ได้”
ถูกต้อง สองพี่น้องสกุลอวี้ช่วยเหลือประคับประคองกันและกัน นี่เป็นสิ่งที่เขาประจักษ์ด้วยตาตนเองมาตลอดสองปี
เยียนชิงหลางมองนางนิ่ง แล้วห้ามตนเองไม่ให้ทอดถอนใจ
“ข้ารู้ว่าข้านิสัยไม่ดี พออารมณ์ร้อนขึ้นมาทีไรเป็นต้องปากไว กระทบกระทั่งท่านแม่ทัพใหญ่จนทำให้ท่านโมโหด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่บ่อยครั้ง” นางทำหน้าหมองพูดเสียงเครือ “ต่อไปข้าจะปรับปรุงตัว…”
ในที่สุดเขาก็ฝืนแข็งใจต่อไปไม่ไหว ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “โรงครัวใหญ่ของจวนแม่ทัพมีแม่ครัวสิบสองคน หากเจ้าต้องการ พรุ่งนี้ข้าจะส่งไปช่วยงานที่ร้านสองคน เจ้าจะได้ไม่ต้องคอยพะวักพะวนเป็นห่วงเหลียงเกอเอ๋อร์”
“จะ…จริงหรือ” อวี้หมี่เงยหน้าพรวด เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู ดูน่ารักน่าชังอย่างยิ่ง “ได้จริงๆ หรือ”
ดวงตาคมทอแสงนุ่มนวลจนเขาแทบอยากเอื้อมมือออกไปแตะแพขนตาสีดำงอนยาวราวกับปีกผีเสื้อของนางว่าเทียบกับภาพในความคิดของเขาแล้ว จะเหมือน…
ชายหนุ่มสะดุ้งวาบในใจ ตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที สีแดงเรื่ออันน่าสงสัยกำลังแผ่ซ่านอยู่ตรงหลังใบหูช้าๆ
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านช่างเป็นคนดีเหลือเกิน” อวี้หมี่ปากสั่นระริกขณะจับมือเขาขึ้นมาเขย่า
นางตื้นตันเสียจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ “ขอโทษด้วย เมื่อครู่ข้าว่าท่านเพราะเข้าใจท่านผิด…ท่านแม่ทัพใหญ่ เชิญใช้กฎทหารในจวนลงโทษข้าได้เลย คราวนี้ข้ายินยอมพร้อมตาย จะตีจะฆ่ากันอย่างไร หากข้าขมวดคิ้วแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ถือว่าเป็นผู้กล้า”
เฮ้อ…เมื่อไรนางถึงจะปรับปรุงนิสัยชอบใช้คำส่งเดชได้นะ
แต่คราวนี้เยียนชิงหลางไม่ได้เอ่ยปากแก้ไข เพราะกำลังพยายามทำมองข้ามสัมผัสนุ่มนิ่มอบอุ่นบนมือที่ถูกนางบีบไว้แน่น
ความประหม่าทำให้ใบหน้าหล่อเหลายิ่งเคร่งขรึมเฉียบขาดขึ้น น่าเสียดายที่สีเลือดฝาดบนโหนกแก้มทรยศภาพลักษณ์แม่ทัพเยียนจอมหน้าตายของเขาเสียแล้ว
โชคดีที่อวี้หมี่เป็นพวกหัวช้า อีกอย่างตอนนี้นางมัวแต่ตำหนิตนเองกับซาบซึ้งตื้นตันในน้ำใจเขา จึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดแปลกจากยามปกติเล็กน้อยของท่านแม่ทัพใหญ่
แต่องครักษ์ที่โผล่หน้าออกมาจากหลังประตูกลับตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง จวบจนถูกผู้บังคับบัญชาตวัดสายตาดุดันมามองถึงได้รีบลนลานหดหัวกลับไป
ฮือ ท่านแม่ทัพใหญ่น่ากลัวเหลือเกิน!
ข่มขวัญลูกน้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เยียนชิงหลางก็ชักสายตากลับมามองเด็กสาวหน้ากลมอีกครั้ง ดวงตาคมดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็ฉายแววอ่อนโยนผิดปกติ “เช่นนั้น…เจ้า…เอ่อ…จากนี้ไปก็อยู่ในจวนอย่างสบายใจแล้วกัน”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางพยักหน้าอย่างว่าง่าย “รับรองว่าต่อไปข้าจะตอบแทนท่านแม่ทัพใหญ่เป็นอย่างดีแน่นอน”
“ไม่ใช่ตอบแทนข้า”
“เอ๋?” ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ อย่างฉงนฉงาย
“ไม่มีอะไร” แม่ทัพหนุ่มหลุบตาลงกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงในใจ “กับข้าวเย็นหมดแล้ว สั่งให้คนยกไปอุ่นก่อนค่อยกินต่อแล้วกัน”
“ข้าจัดการเองๆ”
ทว่าเขาจับมือนางกลับโดยแรง แล้วส่งเสียงเรียก “ใครก็ได้”
“ขอรับ!” องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยกถาดอาหารเดินหายออกไปในพริบตา
แต่คราวนี้อวี้หมี่ไม่มีแก่ใจจะต้องชมว่าองครักษ์มีวิชาตัวเบาเป็นเลิศอีกแล้ว เพราะนางกำลังก้มหน้าลงอึ้งๆ มองมือตนเองที่ถูกมือใหญ่อบอุ่นจับไว้แน่น รู้เพียงแต่ว่าหัวใจเต้นรัวแรงยิ่งนัก…