“อ้อ ใช่ๆ ท่านแม่ทัพใหญ่ยังรอกินข้าวอยู่” อวี้หมี่เพิ่งนึกออกจึงเอ่ยเร่ง “รีบไปเถิดๆ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
เจี้ยนหลันไม่ยอมออกเดิน กลับเลิกคิ้วโก่งบางขึ้นถามอย่างฉงน “แม่นางอวี้ไม่ไปด้วยกันหรือเจ้าคะ”
“ให้ข้าไปด้วยเหตุใดกัน” อวี้หมี่หน้าเหลอ ชะรอยพอตื่นมาก็ลืมสิ้นว่าเมื่อคืนตนเองรับปากอะไรกับท่านแม่ทัพใหญ่เอาไว้
เจี้ยนหลันถอนหายใจเฮือก แล้วช่วยเตือนความจำ “เมื่อคืนท่านรับปากนายท่านไว้ว่าหลังจากนี้จะไปกินข้าวร่วมโต๊ะกับนายท่านทุกวัน”
อวี้หมี่ผงะ แล้วยกมือลูบแก้มอึ้งๆ “อา…ข้าลืมแล้วจริงๆ นั่นแหละ”
“เชิญเจ้าค่ะ แม่นางอวี้”
นางกระอักกระอ่วนเก้อเขินขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าเจี้ยนหลันเอาแต่จ้องมองมาอย่างดึงดัน นางจึงต้องกลั้นใจเตรียมชามกับตะเกียบอีกชุดเดินตามหลังสาวใช้ไป
ฟ้าสว่างเต็มที่แล้ว หมอกยามเช้าเจือไอเย็นสดชื่นค่อยๆ สลายไป สวนอันกว้างใหญ่ของจวนแม่ทัพปลูกไม้ยืนต้นไว้มากกว่าไม้ดอก ทอดตามองไปจึงเห็นสีเขียวขจีเป็นแพเต็มคลองจักษุ มองแล้วรื่นหูรื่นตา รู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก
แต่เดินไปได้สักพัก อวี้หมี่ก็เอะใจขึ้นมา “นี่ไม่ใช่ทางไปเรือนนอนท่านแม่ทัพใหญ่นี่”
“เวลานี้นายท่านอยู่ที่หอไพศาล”
“หอไพศาลเอาไว้ทำอะไรหรือ” นางชะงักไปเล็กน้อย
“หอไพศาลตั้งอยู่กลางทะเลสาบในจวน เป็นห้องหนังสือของนายท่าน” เจี้ยนหลันไม่ได้อธิบายต่อว่าปกติที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามในจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาที่คนทั่วไปจะล่วงล้ำไม่ได้
กินข้าวเช้าในห้องหนังสือ? แหม ความชื่นชอบของท่านแม่ทัพเยียนช่างพิกลดีจริงๆ
แม้จะงุนงงสับสน นางก็ยังเดินตามอีกฝ่ายเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนมาอยู่หน้าทะเลสาบแห่งหนึ่งที่มีสายหมอกลอยอยู่ข้างบน เด็กสาวเบิกตากว้าง ส่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึง
“โห…” ชายแดนตะวันออกมีทะเลสาบใหญ่ถึงเพียงนี้อยู่ด้วย ซ้ำยังอยู่ในจวนแม่ทัพอีกต่างหาก อาณาเขตจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาช่างกว้างใหญ่ไพศาลจริงๆ…
“บ่าวส่งท่านได้แค่นี้” เจี้ยนหลันส่งถาดอาหารให้องครักษ์ท่าทางดุดันที่ยืนยามอยู่ตรงริมทะเลสาบ แล้วหันมาพูดกับอวี้หมี่ “แม่นางอวี้โปรดขึ้นเรืออย่างสบายใจเถิด นายท่านกำลังรอท่านอยู่”
แค่จะกินข้าวเช้ายังทำคนอื่นวุ่นวายไปหมด นี่กินข้าวหรือจัดกระบวนทัพกันแน่
เท้าที่กำลังก้าวลงเรือแจวของอวี้หมี่พลอยแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าหากจรดเท้าลงไปจะเผลอเหยียบกลไกอะไรเข้าหรือไม่
“หรือว่า…” นางกลืนน้ำลายลงคอ เริ่มหวาดระแวงอยู่ในใจ “พอท่านแม่ทัพใหญ่หลับไปหนึ่งคืนแล้วตื่นขึ้นมาในตอนเช้าจะคิดว่าส่งแม่ครัวสองคนไปให้ร้านของข้าเปล่าๆ ถือเป็นการเสียศักดิ์ศรีอย่างร้ายแรง เช้านี้เลยตั้งใจจะคิดบัญชีกับข้า”
ใช่ จะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะทำลับๆ ล่อๆ แต่เช้าด้วยเหตุใดเล่า
คิดถึงประวัติโฉดยาวเป็นหางว่าวที่เยียนชิงหลางเคยกลั่นแกล้งรังแกนางแล้ว…
ยิ่งคิดก็ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง ใบหน้ากลมป้อมขาวเผือดสลับกับซีดเขียว นางถือชามจับตะเกียบแน่น นั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเรือลำน้อยที่แล่นแหวกน้ำไปข้างหน้า นึกอยากลุกขึ้นมาโดดลงน้ำหนีเป็นพักๆ
“แม่นางอวี้โปรดนั่งนิ่งๆ” องครักษ์ผู้นั้นถือลำไผ่อย่างมั่นคง เห็นได้ชัดว่าพายเรือมาจนช่ำชอง “ใกล้ถึงแล้ว”
“พี่ชายท่านนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านแม่ทัพใหญ่ถึงต้อง…”
องครักษ์ที่เมื่อครู่ยังสุขุมเยือกเย็นอยู่ดีๆ พลันหน้าซีดเผือด แล้วรีบก้มหน้าก้มตาจ้วงลำไผ่แจวเรือเร็วรี่ ดูผิดปกติมีพิรุธอย่างมาก อวี้หมี่เห็นแล้วยิ่งใจเต้นแรง
แต่นางไม่ล่วงรู้สักนิดว่าทั้งหมดมีต้นเหตุมาจากคำว่า ‘พี่ชาย’ ทรงอานุภาพฉกาจฉกรรจ์ที่นางเอ่ยเรียกโดยไม่คิดอะไรนั่นแหละ ไม่มีใครในจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาไม่รู้ว่านับตั้งแต่เหอหย่งคนรถถูกท่านแม่ทัพใหญ่ผู้ถูกลมเพชรหึงเล่นงานเนรเทศไปอยู่ที่ค่ายนั้น ก็ไม่เคยได้กลับมาอีกเลย ได้ยินแว่วๆ จากข่าวที่เล็ดลอดออกมาว่าเป็นไปได้อย่างสูงที่เวลานี้เหอหย่งจะถูกคุมตัวฝึกหนักอย่างบ้าคลั่งในค่ายพยัคฆ์โหดที่เข้มงวดที่สุดของกองทัพสกุลเยียน!