ท่านหมอลู่สมเป็นอดีตแพทย์หลวงฝีมืออันดับต้นๆ ของแผ่นดิน ตรวจโรคได้แม่นยำและรู้วิธีฟื้นฟูร่างกายคนไข้เป็นอย่างดี
เขาอ่านใบวินิจฉัยโรคของอวี้หมี่แล้ว เห็นว่าเพราะได้รับความกระทบกระเทือนใจในวัยเด็ก เลือดลมติดขัดอุดกั้นอยู่ในอก ต่อมาไม่ได้รับการรักษา ซ้ำยังตรากตรำร่างกายเกินไป แม้จะดูสมบูรณ์แข็งแรงดี แต่ความจริงแล้วเป็นโรคเลือดพร่อง หากปล่อยให้เรื้อรังเช่นนี้ต่อไปปีแล้วปีเล่า อวัยวะภายในมีแต่จะอ่อนแอ ภูมิต้านทานบกพร่องลงทุกวัน…
ทำเอาเขาใจหายใจคว่ำ รีบสั่งหมอลู่โดยไม่ต้องคิดว่าให้ทำทุกวิถีทางเพื่อรักษานาง ต้องการใช้ยาตัวใดก็เบิกเอาจากในจวนแม่ทัพได้เลย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฟื้นฟูร่างกายนางให้กลับมาแข็งแรง แล้วบำรุงจนอ้วนขาวให้จงได้
นัยน์ตาคมนุ่มนวลขึ้น ขณะยื่นกล่องอาหารที่ถืออยู่ใส่มือนาง “ค่อยๆ กินนะ ระวังสำลัก”
“ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย” อวี้หมี่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเวลาทำปากยู่เช่นนี้ดูน่ารักน่าเอ็นดูเพียงไร
เขายิ้มบางพลางเดินเอามือไพล่หลังเข้าไปในเฉลียงรับแขกเล็กๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้มีพนักและเท้าแขน มองนางเปิดกล่องอาหารพลางอุทานอย่างดีอกดีใจ
“โอ้โห! โจ๊กธัญพืชห้าสี ยังมีไข่เจียวถั่วฝักยาวกับเนื้อปลายอด้วย…ฝีมือทำครัวของเสี่ยวเหลียงพัฒนาแล้ว แค่ได้กลิ่นยังรู้เลยว่าต้องอร่อย” นางกัดเนื้อปลายอกินคำโตอย่างแทบรอไม่ไหว แล้วหรี่ตาอย่างมีความสุข “อื้ม อร่อย”
เยียนชิงหลางเห็นนางเบิกบานเริงร่าราวกับหนูที่ร่วงตกลงไปในไหน้ำมัน* ก็กำมือข้างหนึ่งเป็นกำปั้นแล้วกดตรงมุมปากไว้แน่นๆ ขณะกลั้นหัวเราะจนบ่ากว้างกระเพื่อม
อวี้หมี่มีความสุขจนลืมสิ้นทุกสิ่ง หลังจากกินทุกอย่างจนหมดเกลี้ยงยังไม่วายเลียริมฝีปากอย่างอิ่มเอม จวบจนหางตาเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้ายิ้มแย้มก็แข็งค้างไปทันที
“ขอโทษด้วย ขะ…ข้าลืมถามไปเสียสนิทว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะกินด้วยกันหรือไม่”
รอยยิ้มวาบขึ้นในดวงตาแม่ทัพหนุ่ม ทว่าสีหน้ายังเฉยเมยไร้อารมณ์เหมือนเดิม “นั่นสินะ”
นางอึ้งไปครู่หนึ่งถึงค่อยได้สติ แล้วงึมงำเบาๆ กึ่งอายกึ่งหงุดหงิด “คนเขาก็แค่พูดตามมารยาทเท่านั้นหรอก…”
“สามวันมานี้ข้าไม่ได้กินจนเต็มอิ่มเลย”
“หา?” เด็กสาวชะงัก
“ดังนั้นเจ้าต้องชดเชยส่วนของสามวันที่ผ่านมาให้ข้า” เขาพูดหน้าตายเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
“ท่าน…” นางแทบระเบิดอารมณ์เสียเดี๋ยวนั้น ปากคอสั่นด้วยความโมโหอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ฝืนสะกดอารมณ์เอาไว้ “ได้! ชดเชยเป็นชดเชยสิ!”
ถูกล่ะว่าเขาเป็นตัวการทำให้นางต้องกินยาแสนขม แต่…แต่นางก็หยุดงานไปสามวันจริงๆ ข้อนี้นางปฏิเสธไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้หมี่รู้สึกละเหี่ยใจกับมโนธรรมเสี้ยวเล็กๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัว
เฮ้อ…เป็นคนดีก็ต้องลำบากแบบนี้ล่ะนะ!
ระหว่างที่เด็กสาวทำเป็นส่ายหน้าถอนหายใจอย่างปลาบปลื้มกับความเป็นคนดีของตนเอง เยียนชิงหลางมองเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายหลากบนใบหน้ากลมเล็กดวงนั้น เดี๋ยวก็ยินดี เดี๋ยวก็ขุ่นขึ้ง เดี๋ยวก็กลัดกลุ้ม เดี๋ยวก็แดง เดี๋ยวก็ซีด เดี๋ยวก็เขียว เขาพลันค้นพบว่าการกลั้นหัวเราะก็เป็นความทรมานอย่างหนึ่งเช่นกัน
“เด็กโง่” สุดท้ายเขาก็หลุบตาลงพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ
เสียงทุ้มที่เอื้อนเอ่ยมีความเอ็นดูที่อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้แฝงอยู่เล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
“ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
อวี้หมี่ได้สติก็รีบถามเขากลับทันที “หายเป็นปกติแล้วเจ้าค่ะ ไม่ต้องกินยาอีกแล้ว จริงๆ นะ ต่อไปก็ไม่ต้องกินแล้วได้หรือไม่เจ้าคะ”
เขายิ้มเรียบๆ ก่อนจะเลี่ยงไปพูดถึงเรื่องอื่นแทน “อยากขี่ม้าชมจันทร์หรือไม่”
“อยากสิๆ” ดวงหน้าเนียนฉายแววตื่นเต้นยินดี ขณะพรวดพราดเข้าไปดึงมือเขามาเขย่าโดยแรง “พาข้าไปนะ ขอร้องล่ะ ได้โปรดเถิด”
“เจ้ารับปากว่าจะนั่งนิ่งๆ อยู่บนหลังม้า?” นัยน์ตาคมโชนแสงวาววับ
“ขอรับประกันด้วยนิสัยของข้าเลย!” นางชูกำปั้นขึ้นแนบอกอย่างหนักแน่น
เยียนชิงหลางแทบสำลักอากาศ นิสัยของนางนั้น…บางแง่มุมและบางเวลาคงต้องมาพิจารณากันอีกที
ทว่าคืนนี้ฟ้าสวยจันทร์ผ่องอย่างหาได้ยาก เยียนชิงหลางจึงไม่ต่อปากต่อคำด้วย ใบหน้าหล่อเหลากลับไปเรียบเฉยตามปกติอย่างรวดเร็ว ขณะบอกเสียงเข้ม “ต่อไปต้องกินยาทุกเดือนแต่โดยดี”
“…” หลังจากเงียบไปพักใหญ่ นางก็กัดฟันพยักหน้า “อืม”
“อีกหนึ่งเค่อให้หลัง ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่คอกม้า” คิ้วดกหนาพาดเฉียงจรดขมับเลิกสูง “ใส่เสื้อผ้าให้อุ่นหน่อยล่ะ”
“น้อมรับบัญชา” อวี้หมี่ดีใจเสียจนหุบปากไม่ลง