บทที่หก
ใต้แสงเดือนสลัว ล่าเมฆากำลังปฏิบัติภารกิจอันยากเข็ญที่สุดในชีวิตม้าของมัน…นั่นคือเหยาะย่างช้าๆ ด้วยความเร็วระดับเต่าคลานที่แสนน่าอับอายเพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้านายตระกองกอดคนงาม เอ๊ย! เอาใจเด็กสาวให้เบิกบาน
ในคืนที่จันทร์ทอแสงนวลตา ลมเย็นสดชื่นพัดกลิ่นดอกไม้ให้หอมอบอวลไปทั้งทุ่งหญ้าชายแดนตะวันออกเช่นนี้ ปกติเป็นโอกาสดีที่แม่ทัพใหญ่จะขี่ม้าศึกคู่ใจออกมาควบตะบึงย่ำแสงจันทร์ไล่ตามลมอย่างห้าวหาญดุจสายฟ้า แต่เวลานี้ยังมีมือใหม่ที่ชอบขี่ม้า แต่ก็ชอบสั่นและส่งเสียงวี้ดว้ายนั่งอยู่บนหลังมันด้วยอีกคน ล่าเมฆาเกือบสลัดนางตกหลังหลายรอบด้วยความรำคาญ
แต่พอเริ่มขยับตัวผิดสังเกตทีไร นายของมันจะดึงบังเหียนเบาๆ เป็นเชิงเตือนทุกครั้ง ล่าเมฆาเลยจำต้องยอมรับชะตากรรมเหยาะย่างแบบเต่าคลานต่อไป ชายร่างสูงใหญ่ที่แสดงกิริยาอ่อนโยนทอดเสียงนุ่มนวลคุยกับเจ้ามือใหม่จอมเซ่อซ่านั่นไม่ใช่เจ้านายของมัน…ไม่ใช่เจ้านายของมันจริงๆ
“ตื่นเต้นจัง…ล่าเมฆาตัวสูงเหลือเกิน…แต่พวกเราขี่ให้เร็วขึ้นอีกนิดไม่ได้จริงๆ หรือ”
อวี้หมี่สวมกระโปรงยาวกับเสื้อลำลอง ทว่าพอไปถึงคอกม้าก็ถูกเขาบังคับให้ใส่เสื้อคลุมยาวขนฟูฟ่องอีกชั้น ตอนนี้เลยตัวกลมดิกราวกับลูกหนัง ใบหน้าเล็กที่โผล่พ้นคอเสื้อขนจิ้งจอกมาครึ่งหนึ่งแดงเรื่อด้วยความตื่นเต้น หลังระงับความหวาดกลัวเมื่อขึ้นมาอยู่บนหลังอาชาตัวใหญ่ในตอนแรกสุดได้แล้วนางก็เริ่มเรียกร้องแบบได้คืบจะเอาศอก
“เจ้าเพิ่งเคยขี่ม้าครั้งแรก ระวังพรุ่งนี้จะลุกลงจากเตียงไม่ไหวเอา” ไม่รู้เยียนชิงหลางนึกถึงอะไรเข้า ใบหน้าคมคายจึงแดงก่ำ เขาเสกระแอมกระไอเบาๆ “แค่กๆ”
เพราะแสงจันทร์ที่งดงามดุจภาพฝันเป็นเหตุแท้ๆ เชียว เขาถึงได้หลุดปากพูดประโยคชวนคิดลึกเช่นนั้นออกมา
แม่ทัพหนุ่มคิดอย่างประหม่า แล้วอดจะก้มหน้าลงลอบมองนางแวบหนึ่งไม่ได้
“อืมๆ จริงของท่าน” อวี้หมี่ผู้มีสมองเรียบง่ายเกลี้ยงเกลาราวกับไข่ปอกคิดลึกอย่างใครเขาไม่เป็น ได้ยินดังนั้นก็ผิดหวังเป็นอันดับแรก ก่อนจะพยักหน้าอย่างยอมรับความจริง “แต่ก่อนข้าเคยได้ยินลูกค้าที่ร้านเล่าว่ามีคนเพิ่งเคยซื้อม้ามาขี่ครั้งแรกแล้วดันคึกจัดเกินไปหน่อย เลยเกือบตกลงมาคอหัก เช่นนั้นคืนนี้เราขี่ช้าๆ ไปก่อนก็ได้ ไว้คราวต่อไปค่อยขี่ให้เร็วขึ้นอีกนิด…แน่นอนว่าหากข้าได้ขี่เองอีกตัวจะดีที่สุด”
“รอให้เจ้าเรียนรู้วิธีควบคุมบังเหียน วิธีขึ้นลงม้า วิธีปกป้องตนเองเมื่อพลัดตกจากหลังม้าได้เมื่อไรค่อยว่ากัน” เขาชี้แจงขั้นตอนต่างๆ ให้นางฟัง
“หมายความว่าท่านรับปากว่าคราวหน้าข้าจะยังได้ขี่ม้าอีกใช่หรือไม่” แววตานางมีประกายแพรวพราวขึ้นมาทันใด
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าตนจะเสียทีให้สตรีซื่อบื้อผู้นี้ได้
“อืม” เขาแค่นเสียงตอบอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วไม่ลืมที่จะย้ำ “แต่ต้องเป็นเวลาที่ข้าอยู่ด้วยเท่านั้น”
ใบหน้ากลมเล็กง้ำลงทันใด “แต่ท่านแม่ทัพใหญ่ออกจะยุ่งถึงเพียงนั้น…”
หากต้องรอขี่ม้าตอนเขาว่าง น่ากลัวว่าครั้งต่อไปที่จะได้ขี่คงอยู่ห่างไปไกลโพ้น ต้องรอให้ขึ้นปีใหม่ก่อนกระมัง
เยียนชิงหลางเห็นนางหน้าหมองลงหัวใจก็กระตุกวาบ จึงโพล่งออกไปโดยไม่รู้ตัว “ข้าสัญญา เจ้าอยากหัดเมื่อไรก็เมื่อนั้น”
“จริงหรือ” อวี้หมี่หันขวับไปมองคนข้างหลัง ดีใจจนแทบคลั่งเสียให้ได้
หัวใจอันแข็งแกร่งอ่อนยวบจนหลอมละลายเป็นแอ่งน้ำฤดูใบไม้ผลิ แล้วจะให้เขาเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ ออกไปได้อย่างไรเล่า
“แต่ต้องเป็นเวลาที่ข้าอยู่ในจวน เจ้าอยากหัดเมื่อไรก็มาบอกข้า” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม
“ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านใจดีเหลือเกิน” นางกางแขนกอดเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ร่างสูงสง่าเกร็งเครียดขึ้นทันที ทั้งประหม่า ทั้งตื่นเต้น ทั้งเขินอายจนไม่กล้าขยับ กล้ามเนื้อที่แน่นอยู่แล้วยิ่งแข็งขึงราวกับเหล็กกล้า ความปรีดาระเบิดตัวขึ้นในอกเป็นระลอก ใบหน้าคมคายเคร่งขรึมกระตุกน้อยๆ เหมือนจะอมยิ้มแต่พยายามฝืนตนเองเอาไว้ ทว่าฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่อยู่…