เยียนชิงหลางนึกดีใจที่คืนนี้แสงจันทร์หรุบหรู่ นางจึงมองไม่เห็นว่าตอนนี้หน้าเขาแดงก่ำราวกับลูกมะเขือเทศ
เรือนร่างหอมกรุ่นเบียดชิดแผงอกกำยำของเขา เสียงหัวเราะคิกคักด้วยความเบิกบานส่งผลให้เนินเนื้อกลมกลึงกระเพื่อมเบาๆ เสียดสีไปมาเสียจนเขาสะท้าน เลือดร้อนๆ ฉีดพล่านจากหัวใจลงไปหาท้องน้อยโดยตรง
ในที่สุดอวี้หมี่ก็รู้สึกผิดสังเกต ที่นางสวมกอดอยู่ในตอนนี้คือเรือนร่างบึกบึนสมส่วนแบบบุรุษเพศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายความเป็นชาย ซ้ำยังเบียดชิดกันจนความนุ่มละมุนแนบติดกับความแข็งแกร่ง…ด้านล่างยังมีวัตถุแข็งๆ ที่มีสัณฐานเป็นลำใหญ่คอยดุนดันจนนางอึดอัด นางขยับสะโพกหนีโดยสัญชาตญาณ แล้วต้องตกใจเมื่อพบว่าท่อนลำดังกล่าวดีดผึงทีหนึ่ง!
เสียงขึ้นจมูกเบาๆ ดังขึ้นเหนือกระหม่อม ฟังดูคล้ายเสียงคราง แต่ก็เหมือนเสียงคำรามด้วยเช่นกัน…
“อย่าขยับ” เขาเค้นเสียงแหบพร่าลอดไรฟัน
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้า…” พวงแก้มเนียนร้อนผ่าว นางรีบกระถดตัวหนีราวกับถูกลวกและหวุดหวิดเกือบร่วงตกจากหลังม้า
“ระวัง!” ท่อนแขนแข็งแรงช้อนร่างเล็กเอาไว้ แล้วรั้งเข้ามากอดแนบอกอย่างใจหายใจคว่ำ
สะ…สัมผัสกันอีกแล้ว…
อวี้หมี่หัวหมุนติ้ว โพรงจมูกอุ่นวาบ ของเหลวร้อนๆ ไหลพรวดลงมาเป็นทางทันตา
“ท่านแม่ทัพใหญ่…” นางรีบยกมือปิดจมูกตะกุกตะกักบอกเขา “ชะ…ช่วยปล่อยข้าด้วยเจ้าค่ะ”
เยียนชิงหลางปล่อยมือ ทว่ายังใช้ท่อนแขนพยุงนางไว้หลวมๆ รู้สึกประหม่าเล็กน้อย “จับบังเหียนให้ดีๆ ระวังจะพลัดตก”
“อืม” นางจับบังเหียนแน่นพลางก้มหน้างุดจนแทบซุกลงไปกับขนหลังคอของล่าเมฆา
เมื่อครู่…เมื่อครู่มันอะไรกันนะ เหตุใดหัวใจนางถึงได้เต้นแรงเหลือเกิน จุดที่ถูกเขาสัมผัสร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับติดไฟ…ซ้ำยังหวามซ่าน…
เด็กสาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ร่างละมุนหดลงจนเล็กยิ่งกว่าเดิม ขณะหมอบคู้ไปกับคอล่าเมฆา จนมันส่งเสียงฟืดฟาดออกมาทางจมูกเพราะถูกน้ำหนักกดทับ
อวี้หมี่ตกใจลนลาน นางรีบทิ้งบังเหียน ใช้สองมือกอดคออาชาตัวงามไว้แน่น “เด็กดี ยะ…อย่าขยับ อย่าสลัดพี่สาวทิ้งนะ เดี๋ยวกลับไปพี่สาวจะทำขนมลากลิ้งอร่อยๆ ให้เจ้ากิน…”
เยียนชิงหลางฟังแล้วไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ความปรารถนาที่พุ่งทะยานขึ้นมาอย่างหลงลืมตนเมื่อครู่ลดฮวบลงกว่าครึ่ง น้ำเสียงกลับมาราบเรียบเยือกเย็นอีกครั้ง “ล่าเมฆาเป็นม้าศึก”
“ม้าศึกกินขนมไม่ได้หรือไร” นางหันไปถามด้วยความฉงน
“เจ้าเลือดออก!” เขาสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายคมกริบทันทีขณะถามเสียงดัง “ตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดถึงไม่บอก ไม่ได้ รีบกลับจวนไปให้ท่านหมอดูอาการเดี๋ยวนี้เลย!”
“ไม่ต้องๆ” จะให้นางทำหน้าหนาบอกใครต่อใครได้อย่างไรว่าตนเองเลือดกำเดาไหลเพราะเคลิ้มไปกับเสน่ห์บุรุษเพศของเขา “ให้เลือดกำเดาไหลบ้างก็ดี เลือดลมจะได้ไหลเวียนสะดวก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องกลับไปหาหมอหรอก” มิหนำซ้ำท่านหมอลู่คนนั้นจะได้ฉวยโอกาสฝึกฝังเข็มบนร่างนางปะไร นางไม่อยากเสนอตนเองไปเป็นหมอนปักเข็มให้ใครหรอกนะ
“จนถึงขนาดเลือดกำเดาไหลยังจะเป็นเรื่องเล็กได้อย่างไร” เขาขมวดคิ้วหน้าเครียดยิ่งกว่าเดิม
“ก็เมื่อตอนหัวค่ำข้ากินเข้าไปเยอะเกินจนร้อนในน่ะสิ เดี๋ยวเลือดไหลออกมาหมดก็ไม่มีอะไรแล้ว” นางหัวเราะแห้งๆ ประจบเขา โดยไม่ลืมจะเงยหน้าให้อีกฝ่ายดูโดยละเอียด “เห็นหรือไม่ เลือดแห้งหมดแล้ว”
“เจ้า…” คราบเลือดตรงปลายจมูกนางทำให้เขาปวดใจเป็นกำลัง ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด มือใหญ่เชยคางเล็กขึ้นมา ใช้แขนเสื้อบรรจงเช็ดเลือดให้เบาๆ “ชอบฝืนอยู่เรื่อย ลืมแล้วหรือว่าตนเองเป็นสตรี ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีบุรุษรับไว้ให้เจ้า!”
นางกลั้นหายใจนิ่งมองเขาค่อยๆ เช็ดเลือดให้ตนเองอย่างอ่อนโยน ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายคล้ายถูกอาบย้อมด้วยแสงนวลละมุน นัยน์ตาเจิดจรัสเหมือนแสงดาวเจือไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง เหมือนกำลังยิ้มบางๆ เหมือนกำลังถอนหายใจ ทั้งยังเหมือนกำลังปวดใจและเวทนาอยู่นิดๆ…
หัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งโดยไม่มีสาเหตุ ร่างเล็กหดเกร็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว ราวกับกลัวว่าเมื่อขยับแล้วความฝันงดงามใต้แสงจันทร์ที่ชวนเคลิบเคลิ้มและแสนเหลือเชื่อนี้จะสิ้นสุดลงเสียก่อน…
ใช่แล้ว นางจะต้องกำลังฝันไปแน่ๆ