นางเอามือข้างหนึ่งเท้าคางนั่งกัดริมฝีปาก ไม่รู้ด้วยเหตุใดกระบอกตาถึงได้ร้อนผ่าว หัวใจแปลบปลาบ เจ็บปวดนิดๆ แต่ที่มากกว่านั้นคือ…ขมขื่นและน้อยใจ
“แม่นางอวี้” น้ำเสียงชราที่เต็มไปด้วยความเฉียบขาดดังขึ้นมาใต้ชายคา
นางชะงัก แล้วชะโงกหน้าลงไปมอง
เสียงสูดหายใจเฮือกดังขึ้นในความเงียบ เหล่าผู้เร้นกายที่ใจหายใจคว่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพากันเกร็งตัวเตรียมพร้อมอย่างระมัดระวัง
“แม่นมเหยียน?” เด็กสาวสะดุ้งโหยง ก่อนจะร้องทักแห้งๆ
อย่าบอกนะว่าแม่นมเหยียนเองก็เคืองนางเหมือนอย่างเจี้ยนหลัน ก็เลยจะมาคิดบัญชีกับนาง?
“ลงมา” หญิงสูงวัยขมวดคิ้ว “สตรีดีๆ ที่ใดปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาบ้าง อันตรายออกอย่างนั้น ไม่กลัวตกลงมาเลยหรือ”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเป็นคนมือเท้าคล่องแคล่ว ไม่มีทางตกได้หรอก เอ่อ…จะลงไปเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ” อวี้หมี่จำต้องคลานลงไปช้าๆ อย่างยอมรับชะตากรรม
โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าบริเวณนั้นมีคนกำลังยืนเหงื่อตกทั้งหมดกี่คน
แม้แต่แม่นมเหยียนเองก็ยังลอบพรูลมหายใจยาวเหยียดออกมาเบาๆ เมื่อนางลงมายืนตรงหน้าโดยสวัสดิภาพ ทว่าคิ้วหงอกขาวกลับขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม
“หลังคาจวนแม่ทัพจัดเป็นเขตหวงห้ามทางการศึก หากไม่ใช่องครักษ์หรือทหารจะปีนขึ้นไปไม่ได้เด็ดขาด ใครฝ่าฝืนต้องโทษโบยแปดสิบไม้” แม่นมเหยียนทำหน้าบึ้ง
“ขออภัยเจ้าค่ะ” อวี้หมี่สะท้านเฮือกเล็กน้อย
“หากใครทำผิดร้ายแรงแล้วพูดแค่ ‘ขออภัย’ ก็หมดเรื่อง จวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพายังจะมีกฎเกณฑ์ไว้เพื่ออะไรอีก” หญิงสูงวัยแค่นเสียงหึ ตั้งใจว่าจะใช้ไม้แข็งก่อนค่อยใช้ไม้นวม “เจ้าคิดว่าจวนแม่ทัพคือที่ใด หืม?”
ขอเพียงแม่นางน้อยยอมก้มหัวอ่อนข้อให้ก่อน ไม่ต้องกลัวเลยว่าชิงเกอเอ๋อร์จะไม่กลับมา
แต่ละคำของแม่นมเหยียนดุดันดุจคมอาวุธ อวี้หมี่ตกใจลนลานเสียจนนิ่งอึ้งไป
กลีบปากเล็กสั่นระริก หมายจะอ้อนวอนขอความเมตตา แต่ความกระวนกระวาย ความว้าวุ่น ความกังวล และความน้อยใจที่สะสมมาหลายวันทำให้อารมณ์ตึงเครียดจนเกือบถึงจุดพังทลาย นี่แม่นมเหยียนยังมาเอ็ดอึงด้วยเสียงเฉียบขาด นางจึงปล่อยโฮออกมาอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป
“จวนแม่ทัพนี่จงใจสร้างขึ้นมาไว้รังแกคนชัดๆ ฮือๆ ขี่ม้าไม่สบอารมณ์ก็ชักสีหน้า…ปีนขึ้นหลังคาก็จะถูกโบย ฮือๆ เอะอะอะไรก็หลายสิบไม้ๆ เหตุใดไม่ฆ่าข้าให้ตายไปเสียเลยเล่า…”
อยู่ๆ เด็กสาวก็ร้องไห้ลั่น เล่นเอาแม่นมเหยียนทำอะไรไม่ถูก
“จริงๆ เลย เหตุใดอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้เป็นเด็กไปได้นะ ข้าก็แค่ดุว่าเจ้าไม่กี่คำ จะโบยเจ้าจริงๆ เสียเมื่อไร ร้องไห้ไปไยกันเล่า”
ทำนบอารมณ์นั้นลองว่าพังทลายลงมาแล้ว ไหนเลยจะควบคุมได้ง่ายๆ อวี้หมี่ร้องไห้อย่างชอกช้ำ ร้องอย่างไม่คิดจะรักษาภาพลักษณ์ ร้องจนน้ำหูน้ำตาไหลนอง เช็ดอย่างไรก็เช็ดไม่หมด
แม่นมเหยียนร้อนรนไม่รู้จะทำอย่างไรดี สีหน้าเยือกเย็นชนิดต่อให้ภูเขาไท่ซานทลายลงตรงหน้าก็ไม่รู้สึกรู้สาถูกโยนทิ้งไว้ที่ใดแล้วไม่รู้ได้ นางละล่ำละลักปลอบ “เจ้า…เฮ้อ…ยังไม่เลิกร้องอีก ไม่กลัวคนเขาหัวเราะเยาะเอาหรือ เอาล่ะๆ ขอเพียงเจ้าเลิกร้อง ข้าจะยอมตามใจเจ้าทุกอย่าง”
อวี้หมี่ร้องไห้เสียจนมึนหัว คัดจมูก ตาแดงช้ำ ไหนเลยจะมีแก่ใจฟังว่าคนอื่นพูดอะไร นางเอาแต่ร้องเหมือนจะฉีกปอดเป็นชิ้นๆ ราวกับต้องการระบายความขมขื่นทรมานที่สะสมไว้ในใจมาหลายปีออกมาทางน้ำตาให้หมดสิ้น “ข้า…อยากกลับบ้าน…”
แม่นมเหยียนทั้งปวดหัวทั้งสงสาร รีบดึงเด็กสาวเข้ามากอดพลางตบหลังเบาๆ “เด็กโง่ เจ้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ เหตุใดพอเจอเรื่องอะไรเข้าหน่อยก็ร้องไห้โวยวายจะกลับบ้านเล่า อยู่ในจวนแม่ทัพไม่ดีตรงไหนกัน”
นานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้สัมผัสอ้อมกอดอบอุ่นของผู้อาวุโส น้ำตาที่อวี้หมี่พยายามกลั้นไว้อย่างยากลำบากทะลักพรูลงมามากกว่าเดิม นางสะอื้นฮักๆ จนแทบพูดไม่เป็นคำ “ข้า…ข้าอยากกลับ…ฮือ…อยากกลับบ้าน…”
เด็กน้อยที่น่าสงสาร แม้ปกติจะคล่องแคล่วเก่งกาจสักเพียงใด ถึงอย่างไรก็อายุแค่สิบหก ยังเป็นเด็กที่โตไม่เต็มที่!