เจียงหมิ่นหัวหน้ากองงานพิธีการยืนอยู่ตรงระเบียงประตู ควบคุมเหล่าบ่าวรับใช้ในตำหนักจัดแท่นประทับใหม่ไว้ด้านหลังบัลลังก์
เฉินฮว่าเดินเข้าไปทำความเคารพ “หัวหน้ากองงานพิธีการเจียง”
เจียงหมิ่นหันหน้ามา “อ้อ หัวหน้าเฉินหรือ” นางขยับไปด้านข้างก้าวหนึ่งเพื่อเปิดทางแล้วพูดไปทางด้านในว่า “พวกเจ้าหยุดก่อน ให้หน่วยถ่านฟืนก่อไฟขึ้นมาแล้วค่อยทำต่อ”
“ขอบคุณหัวหน้ากองงานพิธีการเจียง”
เฉินฮว่าแสดงท่าทีให้เหล่าขันทีรับใช้ที่อยู่ด้านหลังยกถ่านเข้ามา
เข่งถ่านถูกยกเข้ามา เหล่าบ่าวรับใช้ในวังต่างหยุดมือ พากันถอยไปอยู่ใต้ระเบียง มีเพียงสองคนถือที่ปัดฝุ่นทำความสะอาดอยู่หน้าแท่นประทับใหม่
เฉินฮว่ามองแท่นประทับใหม่สองแท่นที่อยู่หลังบัลลังก์ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้น “ไม่ใช่ว่า…องค์ชายรองประชวรหนัก ฮองเฮาตำหนักกลางต้องทรงดูแลทั้งวันทั้งคืนจนพระวรกายอ่อนล้าหรือ เหตุใดวันนี้ถึงจัดแท่นประทับสองที่เล่า”
เจียงหมิ่นบอกว่า “องค์ชายรองประชวรหนักก็จริง แต่ฮองเฮาตำหนักกลางเคยพระวรกายอ่อนล้าเมื่อใดกัน”
เฉินฮว่าเอ่ยว่า “พิธีเซ่นไหว้หลังบรรจุพระศพลงหีบพระศพ ฮองเฮาไม่เคยเสด็จไปแม้แต่ครั้งเดียว”
เจียงหมิ่นไอออกมาทีหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยตอบ
แม้หยางหลุนและขุนนางคนอื่นๆ จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตำหนักไท่เหอระหว่างการประชุมใหญ่ขุนนางที่แท่นประทับทองคำ แต่เจียงหมิ่นอยู่ในตำหนักกลับเห็นอย่างชัดเจน ในวันนั้นไทเฮาทรงโต้แย้งฮองเฮาติดต่อกันถึงสามครั้ง ทำให้พระราชโองการก่อนสวรรคตถูกยกเลิก เหออี๋เสียนถูกโบยในที่ประชุม สำนักกิจการฝ่ายในถูกจำคุก สอบสวน และลงโทษ ฮองเฮาไม่กล้าโต้แย้ง เมื่อสูญเสียการสนับสนุนจากสำนักกิจการฝ่ายใน นางจึงได้แต่หลบอยู่ในตำหนัก
“หัวหน้ากองงานพิธีการเจียง” เฉินฮว่าเอ่ยเรียกนาง
เจียงหมิ่นเม้มปากแล้วกล่าวเสียงเย็น “อย่าถามมาก”
เฉินฮว่าได้ยินแล้วก็ถูมือ ไม่ได้พูดอะไรอีก
ไม่นานนักขันทีรับใช้ของหน่วยถ่านฟืนก็ออกมารายงาน เฉินฮว่าตอบรับไปสองสามคำ จากนั้นก็หันมากล่าวลาเจียงหมิ่น แต่กลับได้ยินเจียงหมิ่นเอ่ยขึ้น
“หัวหน้าเฉินยืนอยู่ก่อน”
เฉินฮว่ายืนนิ่งอย่างหวั่นหวาด
เจียงหมิ่นไม่ได้หันหน้ามา ยังคงมองเข้าไปในตำหนักพลางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้คนของสำนักกิจการฝ่ายในรอไต่สวนอยู่ที่ใด”
เฉินฮว่ามองไปทางประตูหลักคราหนึ่ง “น่าจะเปิดห้องไม้กระดานซ้ายขวาสองห้องของกองการฎีกาวสันต์ ให้พวกเขา เวลานี้คนน่าจะพาตัวไปแล้ว หัวหน้ากองงานพิธีการเจียง…” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถามว่า “ท่านยังนึกถึง ‘ท่านบรรพชน’ ผู้นั้นอยู่กระมัง”
เจียงหมิ่นไม่ได้ส่งเสียง
เฉินฮว่าบอก “ข้าจะไม่นึกถึงบุญคุณจอมปลอมในอดีตเหล่านั้นอีกแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเท็จ”
เจียงหมิ่นกล่าวเสียงขรึม “นั่นเป็นท่าน”
“ไม่ใช่เพียงข้า” เฉินฮว่าเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรง มองไปที่เจียงหมิ่นแล้วพูดอย่างจริงจัง “หัวหน้ากองงานพิธีการเจียงเองก็ไม่ควรนึกถึง ทายาทบุตรหลานล้วนเป็นความคิดที่ไร้สาระ เมื่อตัดรากเหง้าแล้วก็ไม่ควรคิดถึงความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกอีก หลอกลวงผู้ใต้บังคับบัญชาให้ตกอยู่ในความทุกข์ยากเพียงนั้น พอเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็รีบโยนบุตรชายหลานชายออกไปตายไม่ใช่หรือ ข้าได้เห็นชัดเจนแล้ว นับแต่นี้จะไม่เชื่อพวกเขาและไม่กลัวพวกเขาอีก”
เจียงหมิ่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เรื่องของหลี่อวี๋กับอวิ๋นชิง…”
เฉินฮว่าตัดบทนาง “ข้าไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อีกทั้งข้าเป็นคนขลาดกลัว ไม่กล้าถาม ไม่กล้าเรียกร้องความเป็นธรรมแทนหลี่อวี๋ แต่ข้ารู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะผู้บัญชาการเติ้งกับหยางกูกู เวลานี้อวิ๋นชิงก็คงเป็นเหมือนหลี่อวี๋ ต้องไปนอนอยู่ใต้ดิน”
เจียงหมิ่นฟังคำพูดเหล่านี้จบก็อ้าปากแต่ไร้เสียง แต่ในลำคอเหมือนมีเสียงสะอื้นเล็กน้อย
นางทำได้เพียงเงยหน้ามองไปทางประตูหลัก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ส.ค. 68