ไทเฮาเพิ่งจะกล่าวจบ เหออี๋เสียนก็ไอออกมาอย่างหนัก ขุนนางที่อยู่ในที่นี้ต่างชำเลืองมองมาที่เขา เขาไอจนนัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นโลหิตแดงฉาน สั่นระริกไปทั้งร่าง ถ้าไม่ใช่ถูกคนจับตัวไว้ เกรงว่าคงล้มคว่ำไปกับพื้นนานแล้ว
องครักษ์เสื้อแพรจับปลายคางของเขาขึ้นมา ลำบากไม่น้อยกว่าจะหยุดเสียงไอของเขาได้ ตัวเหออี๋เสียนเองก็อ้าปากหุบปากผ่อนคลายอยู่พักใหญ่แล้วจึงเงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
“ไทเฮา พระองค์ทรงถามมาเถิด…พระองค์ทรงถามบ่าวยังพอพูดได้หลายคำ บ่าวแก่ชราแล้ว ถูกไม้พลองกระทบร่างก็กลัวแล้ว ผู้อื่นบอกให้พูดอะไรก็ต้องพูดตามนั้น พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เฒ่า ยามประทับอยู่เบื้องหน้าบ่าว ในใจบ่าว…ก็ไม่กลัวมากเพียงนั้น…”
ไทเฮาไม่ได้ปฏิเสธความรู้สึกของเขา เพียงกล่าวเสียงเรียบ…“พูดมาเถิด ข้ากับฮ่องเต้ฟังอยู่”
เหออี๋เสียนดิ้นรนคลานเข่าไปข้างหน้าแล้วเงยหน้าขึ้น “ไทเฮา บ่าวเป็นบ่าวไพร่ที่พระองค์ทรงเลือกให้อดีตฮ่องเต้ด้วยพระองค์เอง ปรนนิบัติรับใช้อดีตฮ่องเต้มาหลายสิบปี พระทัยของอดีตฮ่องเต้สำคัญกว่าชีวิตของบ่าว บ่าวจะปลอมแปลงพระราชโองการก่อนสวรรคต ทรยศต่ออดีตฮ่องเต้ได้อย่างไร…” เขาพูดพลางมองไปทางหยางหลุนและคนอื่นๆ “ผู้ที่ปลอมแปลงพระราชโองการก่อนสวรรคตที่แท้จริงก็คือสภาขุนนาง!”
“หุบปาก!” ไป๋อวี้หยางตวาด “ในการไต่สวนของสามตุลาการเจ้ายอมสารภาพแล้ว เหตุใดยังกล้ากลับคำในตำหนักอีก!”
เหออี๋เสียนแค่นหัวเราะออกมา “แล้วเหตุใดบ่าวถึงยอมรับสารภาพเล่า…” จากนั้นก็ยื่นมือสั่นเทาไปทางไป๋อวี้หยาง “ผู้ช่วยราชเลขาธิการสภาขุนนางจะรัดมือทั้งสองข้างของบ่าวจนเกือบขาด บ่าวอยู่ในศาล…หมดสติไปหลายครั้ง จะไม่ยอมสารภาพได้หรือ ไทเฮา…” เขาพูดไปพลางกลืนฟองโลหิตในปากไปพลางแล้วหันหน้ามองไปทางไทเฮา “อดีตฮ่องเต้ยังไม่ได้เคลื่อนพระศพ ทุกอย่างในราชสำนักยังทอดพระเนตรเห็น…ปณิธานของพระองค์ไม่ได้รับการสืบทอดต่อไป กลับถูกฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม…ถูกฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม…”
พอพูดมาถึงตรงนี้เขาก็พูดไปหลั่งน้ำตาไป สั่นเทาไปทั้งร่าง จากนั้นก็เงยหน้าคร่ำครวญ
“ฝ่าบาท บ่าวผู้เฒ่าสมควรตาย ได้แต่มองดูชื่อเสียงของพระองค์ถูกทำให้แปดเปื้อน พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถเพียงนั้น แต่กลับถูกพวกเขาบีบบังคับ ต้องทบทวนความผิดของตนฐานปลอมแปลงพระราชโองการก่อนสวรรคต…ฝ่าบาท…บ่าวปวดใจยิ่งนัก…”
กลุ่มคนของสำนักกิจการฝ่ายในฟังคำพูดเหล่านี้จบก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นตามไปด้วย ชั่วขณะนั้นในตำหนักมีเสียงร่ำไห้ดังขึ้นเป็นระยะ จากนั้นก็เริ่มมีเสียงเรียกร้องความเป็นธรรมดังขึ้นมา
“เรียกร้องความเป็นธรรมเช่นนี้ จะให้เสด็จพ่อลงโทษเราหรือ พวกเจ้าเอาความกล้ามาจากที่ใด!”
พอสิ้นเสียง ทุกคนก็เงียบทันที
องค์ชายอี้หลางลุกขึ้นยืน ก้มหน้ามองไปที่เติ้งอิง “ผู้บัญชาการสำนักบูรพาแก้ต่างให้ตนเองได้”
เติ้งอิงสองมือวางแนบพื้น หมอบร่างโขกศีรษะคราหนึ่งแล้วจึงเหยียดกายขึ้นตรง “เรื่องที่ควรพูดบ่าวได้พูดในศาลของสามตุลาการแล้ว ไม่มีอะไรจะแก้ต่างพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายอี้หลางเอ่ยขึ้นอีก “เช่นนั้นเรามีเรื่องหนึ่งจะถาม”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้บัญชาการสำนักบูรพารู้ทั้งรู้ว่ามีโทษประหาร เพราะเหตุใดยังยอมรับสารภาพ”
เติ้งอิงหลุบตาลง “เดิมทีบ่าวก็เป็นบุตรของขุนนางผู้กระทำความผิด ได้รับพระเมตตาจากอดีตฮ่องเต้จึงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ บ่าวไม่อาจผิดต่อพระเมตตาของอดีตฮ่องเต้ องค์ชายรองยังทรงพระเยาว์และประชวรอ่อนแอ หากขึ้นครองราชย์ บัลลังก์ก็ต้องตกอยู่ในมือของสำนักกิจการฝ่ายใน ถ้าสภาขุนนางกับสำนักกิจการฝ่ายในเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บ้านเมืองก็สงบมั่นคงได้ แต่บ่าวรับตำแหน่งขันทีผู้บัญชาการสำนักบูรพามาสามปีพลอยทำเรื่องที่กดขี่บีบคั้นขุนนางในสภาขุนนางมามากมาย คดีสมคบกับวอโค่วเปิดโรงเกลือส่วนตัว บ่าวได้คุมขังลงโทษราชบัณฑิตไป๋ ถูกผู้คนนับพันชี้หน้าด่าว่าด้วยความคับแค้นขุ่นเคือง ทำให้ชื่อเสียงดีงามของอดีตฮ่องเต้เสื่อมเสีย บ่าวตายหมื่นครั้งก็ยากจะชดใช้ความผิดของตน ไทเฮา…” เขาพูดพลางเงยหน้าขึ้น “ถ้าบ่าวยังมีชีวิตอยู่จะให้เหล่าขุนนางในสภาขุนนางจิตใจสงบได้อย่างไร หากพวกเขาจิตใจไม่สงบ จะช่วยฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์บริหารราชการแผ่นดิน ทำให้อาณาจักรต้าหมิงสงบสุขได้อย่างไร บ่าวมีความผิด ไม่กล้าร่ำไห้รบกวนดวงวิญญาณของอดีตฮ่องเต้ แต่บ่าวก็ปวดใจอย่างยิ่งเช่นกัน รู้สึกละอายใจและแค้นใจที่เพียงเพราะผลประโยชน์ส่วนตน ถึงกับทำให้มิตรภาพระหว่างฮ่องเต้กับขุนนางของอดีตฮ่องเต้และเหล่าขุนนางในสภาขุนนางต้องบอบช้ำถึงขั้นนี้”