“ใช่แล้ว ลบล้างคดี” ไทเฮากล่าวจบก็จูงองค์ชายอี้หลางเดินกลับไปที่แท่นประทับแล้วกล่าวต่อ “ส่วนเหออี๋เสียนจะประหารอย่างไรให้กองเจิ้นฝู่เหนือเป็นผู้กำหนด คนอื่นๆ ในสำนักกิจการฝ่ายในก็เช่นกัน ล้วนไม่อาจรั้งอยู่ที่กรมอาญา คุมตัวส่งไปที่คุกหลวงทั้งหมด ให้กองเจิ้นฝู่เหนือไต่สวนให้กระจ่าง ควรประหารก็ประหาร ควรจองจำก็จองจำ ควรปล่อยตัวก็ปล่อยตัว” พอกล่าวจบนางก็ตบแขนฮองเฮาเบาๆ “เจ้าเห็นอย่างไร”
นับแต่เหออี๋เสียนถูกพาตัวออกไป ฮองเฮาก็นั่งเหม่อลอยอยู่ที่แท่นประทับมาโดยตลอด เวลานี้จู่ๆ ถูกไทเฮาตบแขน ลมหายใจก็หยุดชะงักไปครึ่งจังหวะ นั่งตัวตรงด้วยความหวั่นหวาดแล้วตอบรับอย่างคลุมเครือ
“เพคะ”
ไทเฮามองนางพลางส่ายหน้า จากนั้นก็หันไปมองไป๋อวี้หยาง ทว่าไม่ได้พูดออกมาทันที พักหนึ่งจึงละสายตากลับมา พูดอย่างตรงไปตรงมายิ่ง
“เสนาบดีไป๋ ในใจท่านรู้สึกไม่เป็นธรรมใช่หรือไม่”
ไป๋อวี้หยางตกตะลึง ก้มหน้าบอกว่า “กระหม่อมมิกล้า”
“มีอะไรมิกล้า”
ไทเฮาเงยหน้ามองไปนอกตำหนักไท่เหอ ปุยเมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนไปมา แสงอาทิตย์ส่องทะลุช่องว่างของชั้นเมฆที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คล้ายกระบี่ที่สาดแสงเจิดจ้าเป็นเล่มแทงทะลุลงมาบนหน้ามุขของตำหนักไท่เหอ
ไทเฮากล่าวต่อ “ป้ายเหล็กของปฐมฮ่องเต้บอกไว้ว่าขันทีไม่อาจเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ตอนที่ข้ายังเด็กเคยได้ยินว่าปฐมฮ่องเต้ได้ตัดเอวโจวผิงขันทีสำนักกิจการฝ่ายในขาดเป็นสองท่อนเพราะรับสินบนด้วยเงินสามสิบตำลึง บัดนี้กลับยากยิ่งที่จะได้ยินเรื่องเช่นนี้อีก พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”
คำถามนี้แม้จะถามเหล่าขุนนาง แต่กลับไม่มีใครกล้าตอบ
ไทเฮาหัวเราะออกมาแล้วอธิบาย “ยามทรัพย์สินในครอบครัวพวกท่านมากขึ้น มีบุตรหลานเพิ่มขึ้น การกินอยู่และเสื้อผ้าไม่ต้องการคนทำงานให้หรือ แม้จะเป็นขุนนางมือสะอาด ไม่ต้องการความหรูหราใหญ่โตจอมปลอมเหล่านั้น แต่ตัดใจให้คนในครอบครัวต้องลำบากไปด้วยได้หรือ เป็นขุนนางเหน็ดเหนื่อยมาทั้งชีวิต จู่ๆ มีคนภายนอกผู้หนึ่งมาตำหนิคนในบ้านท่านว่าฟุ่มเฟือย จะให้ท่านไล่บ่าวไพร่ออกไปทั้งหมด พวกท่านลองถามใจตนเองดู นี่ทำได้หรือไม่”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา
ไทเฮาทอดถอนใจ “ข้าอายุมากแล้ว ถ้าไม่ใช่ผู้อาวุโส หลายท่านบังคับให้ข้าออกมาพูดข้าก็ไม่อยากพูด แต่ในเมื่อพวกท่านอยากฟังข้าพูดปรามในตำหนักแห่งนี้สักสองสามคำ ข้าก็ขอพูดอย่างจริงใจกับพวกท่าน พวกท่านล้วนเป็นขุนนางที่เปรียบเสมือนกระดูกต้นแขนของอาณาจักรต้าหมิง ต้องแบกรับความไม่เป็นธรรมเพื่อบ้านเมือง ข้าล้วนเห็นอยู่ในสายตา เรื่องที่ไม่อาจจัดการได้ในเวลานี้ข้าต้องขออภัยพวกท่าน ฮ่องเต้ยังเล็ก หากค่อยๆ สอนอีกไม่นานก็จะเป็นใต้หล้าแห่งใหม่แล้วมิใช่หรือ”
เหล่าขุนนางฟังคำพูดนี้แล้วต่างก็ทำความเคารพ “น้อมรับคำสั่งสอน”
ไทเฮายิ้มพลางโบกมือ “วันนี้ก็แยกย้ายกันเท่านี้ แต่อย่าเพิ่งกลับ ทุกคนไปรับอาหารที่ประตูหลัก ดื่มสุราอุ่นๆ สักหลายจอกแล้วเรียกคนในครอบครัวมาช่วยพยุงกลับ แม้ปีนี้จะไม่ได้ฉลองปีใหม่ แต่เทศกาลก็ยังมีอยู่ ที่พวกท่านเขียนไว้ในพระราชโองการก่อนสวรรคตว่า…ไม่ห้ามราษฎรจัดงานรื่นเริงและพิธีแต่งงาน เช่นนั้นก็ไม่ต้องห้าม วันสิ้นปีจะมาถึงแล้ว ปิดประตูเสีย เทศกาลที่ควรฉลองก็ต้องฉลอง อย่าบีบคั้นตนเองให้ลำบากเพียงนั้น เป็นขุนนางของอาณาจักรต้าหมิงเราไม่มีหลักการเช่นนั้น ฟังเข้าใจแล้วหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 ส.ค. 68