บทที่ 17.3 ตกปลาตามลำพังท่ามกลางสายลมและหิมะ
ราชสำนักฝ่ายในเลี้ยงอาหาร เหล่าขุนนางออกจากตำหนักแล้วก็เข้าไปที่ห้องทำงานตรงประตูหลัก
ถ่านไฟในห้องเผาจนแดงฉาน หยางหลุนถอดชุดขุนนางตัวนอกแล้วเข้าไปนั่งข้างกระถางไฟ จากนั้นไป๋อวี้หยางกับฉีไหวหยางก็เดินเข้ามาด้วยกัน หยางหลุนเงยหน้ายังไม่ทันได้พูดอะไร ไป๋อวี้หยางก็กล่าวเสียงเย็น
“คนจากสำนักบูรพาผู้นั้น ท่านจะปกป้องไปจนถึงเมื่อใด”
หยางหลุนยืนขึ้น “เรื่องเกี่ยวพันกับการสืบทอดบัลลังก์ ความสงบมั่นคงของท้องถิ่นท่านก็เห็นแล้ว ไม่ใช่ข้าปกป้องเขา”
ไป๋อวี้หยางก็ถอดชุดขุนนางออกพาดไว้ที่เก้าอี้ทรงกลมที่มีเท้าแขนและพนักพิง หันกายลงนั่งตรงข้ามหยางหลุน
“พอลบล้างคดีนี้ กรมอาญาก็ต้องปล่อยตัวเขาไปอย่างไร้ความผิด เขาเป็นขันทีผู้บัญชาการสำนักบูรพา เหออี๋เสียน หูเซียง และคนอื่นๆ ถูกตัดสินความผิดเช่นนี้ พวกท่านคิดว่าหัวหน้าขันทีผู้ควบคุมสำนักกิจการฝ่ายในจะเป็นใคร”
ถ่านไฟรมจนแก้มสองข้างของหยางหลุนร้อนผ่าว หน้าผากมีเหงื่อออก
เวลานี้ขุนนางในสภาขุนนางคนอื่นๆ ในห้องก็วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา
หัวหน้าสำนักตรวจการฝ่ายซ้ายเอ่ยว่า “นี่ถลำเข้าไปในรอยเดิมอีกแล้ว” พูดจบก็ทอดถอนใจคราหนึ่ง “ในตอนนั้นเป็นเพราะอดีตฮ่องเต้ถูกเลี้ยงดูอยู่ในมือของขันที ทำให้ภายหลังทรงให้อภัยเหออี๋เสียนครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้เติ้งอิงผู้นี้แม้จะไม่เหมือนกับเหออี๋เสียน แต่ถึงอย่างไรก็ไปมาหาสู่ใกล้ชิดกับฝ่าบาทบ่อยครั้ง อย่าว่าแต่…” เขามองหยางหลุนคราหนึ่ง ลังเลไปชั่วขณะ สุดท้ายยังคงเปิดปาก “อย่าว่าแต่หนิงเฟยประชวรพักรักษาตัวอยู่ที่อุทยานกล้วยเป็นเวลานาน คนที่ดูแลฝ่าบาทมาโดยตลอดคือหยางหวั่นนางกำนัลของตำหนักเฉิงเฉียนผู้นั้น นางกับเติ้งอิง…”
“หุบปาก!”
คำพูดของหัวหน้าสำนักตรวจการฝ่ายซ้ายถูกหยางหลุนตวาดตัดบท จากนั้นหยางหลุนก็ก้มหน้าไอออกมาทีหนึ่ง
ไป๋อวี้หยางเอ่ยว่า “รองเสนาบดีหยาง นางเป็นน้องสาวท่าน แต่ท่านก็ไม่อาจคิดแต่จะปกป้องนางได้”
“ปกป้องอะไร” หยางหลุนเดินไม่กี่ก้าวมายังเบื้องหน้าไป๋อวี้หยาง “หยางหวั่นอยู่ในวังมาสามปี ทุ่มเทจิตใจดูแลฝ่าบาทมาโดยตลอด เคยปลุกปั่นมอมเมาฝ่าบาท เคยทำความผิดสักเรื่องหรือไม่”
ไป๋อวี้หยางบอก “แล้วเพราะเหตุใดวันนั้นฝ่าบาทไม่ทรงยอมประหารเติ้งอิง จะต้อง ‘ไต่สวนผู้กระทำความผิดร้ายแรงเบื้องพระพักตร์’ ให้จงได้ น้องสาวของท่านเคยพูดอะไรเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท ท่านที่เป็นพี่ชายทราบหรือไม่”
“นางไม่เคยพูดอะไรทั้งนั้น!”
“หยางหลุน!” ไป๋อวี้หยางก็ยืนขึ้นมาเช่นกัน “ท่านกับเหล่าขุนนางในสภาขุนนางทั้งหลายจงคิดดู ถ้าครั้งนี้เติ้งอิงพ้นผิด พวกเรารวมทั้งท่านยังจะมีใครร้องทุกข์กล่าวโทษเขาได้อีก” เขาพูดจบก็หันกายมองไปทางเหล่าขุนนาง “ในใจพวกท่านไม่กลัวหรือ”
ขุนนางหลายคนต่างนิ่งเงียบ หนึ่งในนั้นยื่นมือไปดึงหยางหลุนกลับมาแล้วกล่าวเตือนเสียงเบา “อันที่จริงคำพูดของเสนาบดีไป๋ก็มีเหตุผล ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ยังทรงพระเยาว์ สำนักกิจการฝ่ายในถือพระราชลัญจกร นั่นคือหนึ่งคำพูดหนักแน่นดุจเก้ากระถางศักดิ์สิทธิ์ เติ้งอิงผู้นี้ใกล้ชิดสนิทสนมกับน้องสาวท่านมากเกินไป ท่าทีของฝ่าบาทที่มีต่อเขาเวลานี้พวกเราก็มองออกแล้ว แม้…ข้าเองจะเห็นว่าเขาแตกต่างจากเหออี๋เสียน แต่…” เขาส่ายหน้าพลางถอนหายใจคราหนึ่ง “เขาเคยยึดครองที่นาของสำนักศึกษาทางใต้มาเป็นของตน หลายปีมานี้สำนักบูรพาสร้างคุกสำนักแล้ว ยามทำคดีมีหรือจะไม่หาสินบน ท่านควรไปดูด้วยตนเอง คนในคุกสำนักคนใดบ้างที่บ้านไม่ได้ถูกขูดรีดจนไม่เหลือเงินแม้แต่เหวิน เดียว แม้แต่ราชบัณฑิตไป๋ก็ถูกเขากดขี่บีบคั้นจนป่วยหนัก จนทุกวันนี้ก็ยังไม่หายดี รองเสนาบดีหยาง ไม่อาจให้เขานั่งในตำแหน่งหัวหน้าขันทีได้จริงๆ”
คำพูดนี้พอกล่าวจบคนอื่นๆ ต่างก็พากันคล้อยตาม
หยางหลุนถูกคนดึงรั้งจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองไป๋อวี้หยาง แต่กลับไร้คำพูดจะโต้แย้ง อาหารก็กินไม่ลงแล้ว เพียงสะบัดให้หลุดจากมือของขุนนางผู้นั้น คลุมเสื้อแล้วเดินฝ่าลมออกไป