ยามหยางหลุนมีเรื่องในใจก็ไม่อยากกลับจวน มุ่งหน้าไปประตูฮุ่ยจี๋เพียงลำพัง ในร่มเงาประตูฮุ่ยจี๋ เขาเห็นหยางหวั่นหอบห่อยาสมุนไพรห่อหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนรอเขาอยู่หน้าประตูคลังยาหลวง
หยางหลุนผ่อนฝีเท้า หยางหวั่นก็เดินเข้ามารับหน้า
“เป็นอะไร ท่าทางดูกลัดกลุ้มยิ่งนัก”
“ใครกลัดกลุ้มกัน”
หยางหวั่นเงยหน้าขึ้นยิ้ม “เอาชนะได้กระดานหนึ่งก็กระดานหนึ่งเถิด แค่นี้ก็ไม่ง่ายแล้ว”
พอนางกล่าวจบ ท้องของหยางหลุนก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา
หยางหวั่นก้มหน้ามองไปที่ท้องของหยางหลุน ยิ้มพลางถาม “ยังไม่ได้กินอะไรหรือ ไม่ไปที่เรือนพักของเติ้งอิงสักหน่อย ข้าจะต้มบะหมี่ให้ท่านกินชามหนึ่ง”
หยางหลุนบอก “เรือนพักของเขาไม่ได้ถูกปิดตายหรือ”
“ปิดแล้ว แต่ห้องของหลี่อวี๋ที่อยู่ด้านข้างยังเปิดอยู่ ไม่มีคนอยู่ ยังพอนั่งได้ครู่หนึ่ง”
หยางหลุนเดินตามหยางหวั่นไปทางคูน้ำป้องกันวังด้วยกัน ตลอดทางหยางหวั่นไอไม่หยุด
หยางหลุนอดถามไม่ได้ “เจ้าไปเอายาที่คลังยาหลวงให้ตนเองหรือ”
หยางหวั่นเดินพลางสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ อาการป่วยของข้าหมอหลวงเป็นผู้ดูแลรักษา”
“หมอหลวงหรือ” หยางหลุนนึกถึงคำพูดของเหล่าขุนนางในสภาขุนนางก่อนหน้านี้ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เขาสาวเท้าเร็วๆ ไปยังเบื้องหน้านางแล้วตำหนิว่า “อาการป่วยของนางกำนัลให้หมอหลวงเป็นผู้ดูแลรักษาได้อย่างไร เจ้าอย่าเห็นว่าฝ่าบาทขึ้นครองราชย์แล้ว เจ้าเลี้ยงดูเขามาไม่กี่ปี เจ้าจะสามารถกำเริบเสิบสานได้”
หยางหวั่นรับฟังคำพูดของเขาเงียบๆ ไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง
นางเพียงหยุดฝีเท้า มองเขาแล้วเอ่ยถาม “ท่านก็กลัวแล้วใช่หรือไม่”
หยางหลุนพลันอึ้งงันไป “ข้า…”
หยางหวั่นยิ้มแล้วทอดถอนใจ “ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณธรรมมีเมตตาพระองค์หนึ่ง แต่ข้ากลับไม่อาจรับความเมตตาที่เขามีต่อข้าได้อีกต่อไป หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงข้าจะไม่ได้ทำอะไร ราชสำนักฝ่ายในก็ไม่อาจรับข้าไว้ได้แล้ว” นางกล่าวจบก็เงยหน้าขึ้นมองหยางหลุน “ท่านพี่ หลายปีมานี้ท่านก็เปลี่ยนไปไม่น้อย ข้าเคยเห็นท่านร้อนใจเพราะเติ้งอิง หาทางประนีประนอมเพื่อเขา ข้าซาบซึ้งใจยิ่ง แต่…” นางกระชับห่อยาในอ้อมแขน “ข้าเพิ่งเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงเฉพาะคนนั้นไม่เพียงพอที่จะต่อต้านใจของคนทั้งราชสำนักได้ ใจคน…”
นางเม้มปาก เส้นผมที่หลุดลุ่ยถูกลมหนาวพัดปลิวขึ้น มุกหยกที่หูแกว่งไปมากระทบกันเสียงใส
นางพูดไม่ค่อยเต็มปาก หรี่นัยน์ตาคล้ายกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดที่อยู่ในร่างกาย “ใจคนนั้นซับซ้อนและเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ ขุนนางในราชสำนักก็ดี ชาวบ้านทั่วไปก็ดี ต่างคนต่างมีความทุกข์กังวลและความสุขอยู่ในใจของตน พวกเขารู้ดีว่าตอนนี้เวลานี้ควรเกลียดใคร ถ้าท่านต้องการจะทำดีกับคนที่ถูกเกลียดจะทำให้เขาผู้นั้นยิ่งมี ‘บาป’ มากขึ้นและตายเร็วขึ้น”
“ตายเร็วขึ้นหรือ” หยางหลุนกล่าว “เหตุใดเจ้าพูดถึงเขาเช่นนี้”
หยางหวั่นบอก “หรือมิใช่เล่า”
หยางหลุนถอนหายใจคราหนึ่ง “ใช่ เจ้ามองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งทั้งหมด” เขามองจ้องดวงตาของหยางหวั่น “แต่คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นทำให้คนท้อแท้ใจอย่างแท้จริง”
“นั่นเป็นท่าน” หยางหวั่นยอกย้อนประโยคหนึ่ง
หยางหลุนเอียงหน้าหัวเราะออกมา พยักหน้าพลางบอกว่า “ใช่ เป็นข้าที่ท้อแท้ใจ เจ้าเหมือนกับเติ้งอิง ต่อให้เบื้องหน้าคือแท่นประหารก็กล้าเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมา”
หยางหวั่นกำลังจะตอบ แต่กลับไอออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่