หนิงเฟยฝากฝังองค์ชายอี้หลางไว้กับหยางหวั่น เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสองสามปีแล้ว
ราชสำนักแปรเปลี่ยนไปมาดุจคลื่นและเมฆยากแก่การคาดเดา แม้นางจะถูกคุมขังอยู่ในอุทยานกล้วย แต่ก็นับว่าอยู่ห่างไกลจากสถานที่ผิดถูก
แต่หยางหวั่นกลับเดินเข้าไปในนั้นเพียงลำพัง
หนิงเฟยไม่รู้ว่าตลอดเส้นทางหยางหวั่นเดินไปเพียงลำพังได้อย่างไร กระทั่งไม่กล้าถามอีกฝ่ายว่าที่ผ่านมาสบายดีหรือไม่ เพราะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเวลานี้ เทียบกับเมื่อก่อนแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ใช่การเติบโตของเด็กสาว
หนิงเฟยรับรู้ได้ว่าธาตุแท้ของหยางหวั่นไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแต่ผิวถูกลอกให้บางลง กระดูกถูกตีจนแตก ดูแล้วยิ่งอ่อนไหว ยิ่งเปราะบางมากขึ้น
ทางด้านหยางหวั่นก็ไม่กล้ามองหนิงเฟย
กล่าวไปแล้วสำหรับหยางหวั่น อีกฝ่ายไม่เพียงเป็นพี่สาวของตน แต่ยังเป็นคนที่สูงส่งสง่างามและได้รับความเจ็บปวดที่สุดในอาณาจักรต้าหมิง เฉกเช่นดวงจันทร์ที่หนาวเหน็บ
นางแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนคนที่เข้าใจและยอมรับนางผู้นั้นได้ตายอย่างน่าอนาถไปแล้ว
พักใหญ่หยางหวั่นจึงพูดออกมาได้ในที่สุด
“พี่หญิง ท่านสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นไปแล้ว ขึ้นไปห่มผ้าบนเตียงก่อนเถิด ข้าเก็บกวาดของที่พื้นเสร็จแล้วค่อยพูดคุยกับท่าน”
นางประคองหนิงเฟยให้นั่งลงบนเตียงช้าๆ ส่วนตนเองก็ยืดตัวขึ้นหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง กลั้นน้ำตาในก้นบึ้งดวงตาอยู่เงียบๆ พับแขนเสื้อขึ้นแล้วยอบกายลงไปเก็บเศษกระเบื้องบนพื้น
หนิงเฟยเกาะขอบเตียง ก้มลงมองหยางหวั่น “หวั่นเอ๋อร์”
“ข้าอยู่”
“เหตุใดสีหน้าของเจ้าถึงดูย่ำแย่เพียงนี้”
หยางหวั่นไม่กล้าเงยหน้า นางเก็บเศษกระเบื้องขึ้นมา พยายามข่มกลั้นอาการไอไว้ “เป็นเพราะปีนี้หนาวเกินไป พอต้องลมหนาวร่างกายจึงไม่ค่อยดีมาโดยตลอด”
หนิงเฟยดึงมือหยางหวั่นเข้ามาไว้ในผ้าห่มของตน น้ำตาคลอกลั้นสะอื้นอยู่นานแล้วเอ่ยว่า “เพื่ออี้หลาง เจ้าต้องได้รับความทุกข์ทรมานมามากมายใช่หรือไม่”
หยางหวั่นสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ เขาปกป้องข้ามาโดยตลอด พี่หญิง เขาเติบโตแล้ว ต่อไปเขาก็สามารถปกป้องท่านได้แล้ว”
“ข้าไม่ต้องการให้เขามาปกป้อง”
“พี่หญิง…” หยางหวั่นงุนงง
“และข้าก็ไม่คิดจะเดินไปอยู่ข้างกายเขา” เสียงของหนิงเฟยไร้คลื่นอารมณ์ กระทั่งฟังไม่ออกถึงความเศร้าโศก นางถอนหายใจคราหนึ่ง “ความสัมพันธ์แม่ลูกของข้ากับเขาได้ถูกตัดขาดไปแล้ว เขาเป็นฮ่องเต้แห่งอาณาจักรต้าหมิง ข้าเป็นเพียงสตรีฟั่นเฟือนที่ถูกทอดทิ้ง ทั้งตัวข้าเอง ฮองเฮา และไทเฮาล้วนไม่ปรารถนาให้ข้ากลับไปยอมรับเด็กคนนั้น ดังนั้นปล่อยให้เขาอยู่ที่ตำหนักหยั่งซินอย่างสงบเถิด ไม่ต้องพบเจอข้าอีกแล้ว”
หยางหวั่นนั่งลงที่ขอบเตียงพลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงคิดถึงพี่หญิงมาก”
หนิงเฟยกุมมือหยางหวั่น ส่ายหน้าน้อยๆ “ข้ากลับกลัวเขาจะถามข้าว่าเพราะเหตุใดตอนนั้นถึงทอดทิ้งเขา เพราะเหตุใดข้าถึงถูกฝ่าบาทกักขัง หวั่นเอ๋อร์…ข้าไม่อยากโกหกบุตรของตนเอง แต่…ข้าจะบอกคำพูดในใจของข้ากับเขาได้หรือ เขาจะยินดียอมรับหรือ เขาจะยอมให้ข้าไปเซ่นไหว้บ่าวไพร่คนหนึ่งได้หรือ”
หยางหวั่นเงยหน้าขึ้นปาดน้ำตา ลมหายใจในโพรงจมูกร้อนผะผ่าว