“เติ้งอิง” พัศดีเปิดประตูห้องขัง ยืนอยู่หน้าประตูเรียกชื่อเขา
“ข้าอยู่”
“ลุกขึ้นเดินออกมา”
เติ้งอิงลุกขึ้นยืน ขันทีที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งพลันคว้าโซ่ที่แขนเขาไว้
“ผู้บัญชาการเติ้ง…” คนผู้นั้นเสียงแหบแห้ง
เติ้งอิงประคองตัวยืนให้มั่นคง หันหน้ากลับไปแล้วยอบกายประคองเขาไว้ กล่าวเสียงเรียบ “เจ้าปล่อยมือเถิด”
คนผู้นั้นส่ายหน้าพลางร้องไห้ “ท่านคือท่านบรรพชนของพวกเรา ท่านโปรดช่วยชีวิตพวกเราด้วยเถิด ข้าขอโขกศีรษะให้ท่าน…ขอโขกศีรษะให้ท่าน…”
พอคนผู้นั้นกล่าวออกมาเช่นนี้คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็คุกเข่าหมอบลง ขันทีตรวจฎีกาสูงวัยหลายคนผมเป็นสีดอกเลาหมดแล้ว แต่ละคนต่างเรียกเติ้งอิงอย่างนอบน้อม เอาหน้าผากโขกกับพื้นอย่างแรง
“หิ้วตัวขึ้นมาให้หมด!”
เหล่าผู้คุมได้ยินคำสั่งก็เข้ามา ดึงคนเหล่านี้ขึ้นมาแล้วกดร่างไว้กับผนัง
เติ้งอิงฟังเสียงร่ำไห้ภายในห้องคุมขังก็หันกายเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วพูดขึ้น “ชีวิตคนล้วนมีคุณค่า ถ้ากฎหมายอาญาเปิดทางรอดให้เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวได้ แล้วดวงวิญญาณของอาจารย์ข้ากับเหล่าปัญญาชนของสำนักศึกษาถงจยาจะสงบสุขได้อย่างไร พวกเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ไม่ได้อยากตาย ยิ่งไปกว่านั้นปีนี้ข้าอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว เป็นบุตรชายของขุนนางที่กระทำความผิด สำมะโนครัวของทั้งครอบครัวถูกลบทิ้งไปแล้ว ข้ามองตนเองด้วยความละอายใจ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนไม่ยินดีจะเอ่ยถึง”
“ผู้บัญชาการเติ้ง…”
เติ้งอิงไม่ได้พูดอีก เพียงหันกายเดินออกจากห้องคุมขัง
เติ้งอิงถูกพาตัวมาที่ห้องโถงของกองเจิ้นฝู่เหนือ
จางลั่วนั่งรอเขาอยู่ในห้องโถง เห็นเขาถูกพาตัวเข้ามาก็หาอะไรทับหนังสือของทางการไว้แล้วบอกว่า “ไม่ต้องคุกเข่า วันนี้ไม่ใช่การพิจารณาคดีของศาล” พอเขาพูดจบก็ยืนขึ้น เดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะ กล่าวกับผู้คุมว่า “ปลดของบนร่างเขาออกมา”
เติ้งอิงยกมือขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ หันกายมองไปนอกห้องโถง
ฤดูใบไม้ผลิอากาศสดใส ปุยสีขาวของเมล็ดหลิวนุ่มละเอียดปลิวปรายมาตามสายลม ลมยังคงหนาวเย็น แต่กลับพัดโชยอย่างละมุนละไมยิ่ง ลมพรูเข้ามาในแขนเสื้อของเขา ทว่าไม่รู้สึกหนาวแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องมองแล้ว” จางลั่วเอาหนังสือปล่อยตัวนักโทษวางลงตรงหน้าเติ้งอิง “หลังจากอ่านและลงชื่อแล้ว เจ้าก็ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”
เติ้งอิงถอนสายตากลับมา หันไปผงกศีรษะน้อยๆ ให้จางลั่ว
“เอาเสื้อผ้าให้เขา”
เติ้งอิงรับเสื้อผ้ามา จากนั้นก็ได้ยินจางลั่วเอ่ยถาม
“ชื่อรองของเจ้าชื่อว่ากระไร”
“ฝูหลิง”
“ใครตั้งให้เจ้า”
เติ้งอิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้วบอกว่า “ท่านอาจารย์จางตั้งให้”
“จางจั่นชุนหรือ”
“ใช่”
จางลั่วก้มหน้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองเติ้งอิง “กรมอาญาทูลขอให้ไต่สวนคดีสังหารโหดถงจยากับคดีจางจั่นชุนเสียใหม่ ข้ากำลังตรวจสอบเอกสารในตอนนั้น คดีจางพัวพันถึงเจ้า เจ้ามีอะไรจะชี้แจงหรือไม่”
เติ้งอิงประสานมือค้อมกายคารวะจางลั่วแทบจรดพื้น “ขอใต้เท้าช่วยสะสางคดีที่ไม่เป็นธรรมให้อาจารย์ของข้าด้วย”
“หากสะสางคดีที่ไม่เป็นธรรมให้เขา เช่นนั้นคนผิดในคดีโรงกระเบื้องก็ต้องเป็นเจ้า” จางลั่วมองเขาแล้วกล่าวต่อด้วยเสียงเยียบเย็น “เติ้งฝูหลิง เจ้าเป็นคนเดียวของสำนักกิจการฝ่ายในที่ได้เดินออกไปจากคุกหลวงอย่างมีชีวิตและได้กลับเข้าทำงานตามเดิม เหออี๋เสียนตายแล้ว เจ้าก็คือเป้าหมายที่ราษฎรทั่วไปจะโจมตี ตอนนี้ความผิดแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายทันที”
เติ้งอิงกดข้อมือ ก้มหน้าบอกว่า “ข้ามีความผิดติดตัวมากมาย คดีโรงกระเบื้องไม่เพียงพอให้สภาขุนนางพิจารณา”
“ดังนั้นเจ้าไม่ใส่ใจหรือ”
“ใส่ใจ”
“ใส่ใจอะไร”
“ใส่ใจว่าจะมีชีวิตอยู่ข้างนอกได้สักกี่วัน”
“ได้” จางลั่วยกชายชุดคลุมยาวก้าวเข้าไปด้านหลังโต๊ะ “ข้าไม่ถ่วงเวลาเจ้าแล้ว”