หยางหวั่นพิงหัวไหล่เติ้งอิง “เติ้งอิง”
“ข้าอยู่”
“ถ้าให้ท่านเลือกอีกครั้ง ท่านยังจะเป็นผู้บัญชาการสำนักบูรพาหรือไม่”
“เป็น” เติ้งอิงตอบพลางมองต้นไม้ใบหญ้าในลานกว้าง จากนั้นก็หลุบตาลง “แต่ถ้าข้ารู้ว่าจะได้พบเจอเจ้า ตลอดเส้นทางนี้ข้าจะเดินอย่างรอบคอบระมัดระวังมากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่อาจหว่านเงินออกไปจนหมด กลายเป็นบุรุษขยะเช่นนี้”
“กลายเป็นอะไรนะ”
“บุรุษขยะ”
“ฮ่าๆๆ” หยางหวั่นหลับตาหัวเราะออกมา “ท่านยังจำได้หรือ”
“คำพูดที่เจ้าพูดข้าล้วนจำได้”
“เช่นนั้นก่อนหน้านี้ที่ข้าบอกว่าวันเวลายังอีกยาวนาน ท่านจะจำไว้หรือไม่”
เติ้งอิงไม่ได้พูดอะไร แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือหยางหวั่นถึงกับไม่ได้บังคับให้เขาตอบ
“ข้าเห็นคนในครอบครัวที่เหลืออยู่ของปัญญาชนสำนักศึกษาถงจยาเข้ามาเมืองหลวงแล้ว”
“ใช่ ยังมีบุตรชายของท่านอาจารย์ เขาก็มาแล้ว”
หยางหวั่นไอออกมาทีหนึ่ง “สองคดีนี้จะไต่สวนใหม่แล้ว”
“ใช่”
“สองคดีนี้จะเอาชีวิตท่านหรือไม่”
“ไม่” เติ้งอิงสั่นศีรษะ พูดจบก็เอามือแตะปลายคางหยางหวั่น “หวั่นหวั่น แม้ข้าจะเป็นคนต่ำต้อย แต่สำหรับข้าเป็นตายล้วนอยู่ที่ใจ ชีวิตนี้ของข้าเพียงยินยอมมอบโซ่ตรวนไว้ในมือเจ้า เจ้าจูงข้าไปก็พอ ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะมองข้าอย่างไร และไม่ต้องไปสร้างความลำบากใจให้จื่อซีเพื่อข้า”
“ข้ารู้” หยางหวั่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง “ท่านหาได้ต่ำต้อยกว่าคนในสภาขุนนางเหล่านั้น ตรงกันข้ามเมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วท่านยังสูงส่งกว่า ท่านวางใจเถิด ข้าจะไม่เหยียบย่ำเกียรติศักดิ์ศรีของท่านอย่างแน่นอน คนของสภาขุนนางจะปฏิบัติต่อท่านอย่างไรข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยว ให้พวกเขาเคี่ยวกรำไป ข้าเพียงเดิมพันความเข้าใจที่ข้ามีต่อท่าน”
“หวั่นหวั่น เจ้าเพิ่งรู้จักข้าเพียงสี่ปีเท่านั้น”
ไม่เพียงแค่นั้น ไม่ใช่เพียงแค่นั้น
หยางหวั่นได้แต่กล่าวคำพูดหลายคำนี้อยู่ในใจ
นางก้มหน้าก้มตาอยู่กับกองกระดาษเก่ามาสิบปี เขียน ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’ ขึ้นมาเล่มหนึ่ง เวลานี้เมื่อมองย้อนกลับไป บทความนั้นดูเป็นงานเป็นการและแข็งกระด้างเพียงนั้น ทั้งชีวิตของเขาขึ้นๆ ลงๆ แต่กลับไม่มีความดีใจโกรธเศร้าและความสุข
และบุรุษในบันทึกนั้นดุจหยกที่แตกหัก ดุจดวงจันทร์ที่บุบสลาย ดุจต้นสนที่ถูกลมพัดทำลาย ดุจนกกระเรียนที่เกาะอยู่ในโคลนทะเลสาบเพราะได้รับบาดเจ็บ
ด้วยโอกาสและเหตุบังเอิญ เขามาหมอบอยู่เบื้องหน้าหยางหวั่น สองมือประคองความเจ็บปวดรวดร้าวและความสุขทั้งชีวิตมามอบให้นางทั้งหมด
สมุดบันทึกในมือหยางหวั่นเล่มนี้ได้บันทึกอาการเจ็บป่วยและการต่อสู้ดิ้นรนภายในใจของเขาเอาไว้ รวมทั้งการใช้ประโยชน์และการกดขี่บีบคั้นเขาของอาณาจักรต้าหมิง เขาเป็นหัวข้อสำคัญสำหรับการศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด และเป็นคนที่มีชีวิตคนหนึ่งในรัชสมัยเจินหนิง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการอุทิศตนที่ผู้เป็นหัวข้อการวิจัยมีต่อผู้วิจัย
เหมือนเป็นการขอบคุณในการมาของหยางหวั่น เขาได้ตอบทุกข้อสงสัยในการทำงานด้านวิชาการของหยางหวั่น ทำให้นางประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ทำให้นางเป็นชนรุ่นหลังผู้โดดเดี่ยวเดียวดายที่ได้รู้แจ้งเห็นจริงในทุกสิ่งทุกอย่างเพียงคนเดียว
ด้วยเหตุนี้หยางหวั่นจึงไม่อาจตัดใจละทิ้งเติ้งอิงได้
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนกันยายน 2568)