เช่นเดียวกับดุษฎีบัณฑิตหญิงหลายคนที่นอนตายอยู่ในอ้อมแขนของวิชาการ ช่วงเวลาที่โหดร้ายต่อตนเองนี้ทำให้หยางหวั่นได้ลิ้มรสความสนุกสนานในการสื่อสารกับผู้คนบนกระดาษในอีกโลกหนึ่ง และชีวิตของเติ้งอิงก็ถูกเธอพลิกเปลี่ยนไปเพราะเหตุนี้
หยางหวั่นยังเห็นว่าชีวิตขึ้นๆ ลงๆ ในแวดวงขุนนางและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของคนผู้นี้ในงานวิจัยนี้น่าจะเขียนไว้อย่างครอบคลุมหมดแล้ว เพียงแต่เสียดายที่ขาดเรื่องความรัก แม้ในข้อมูลเอกสารด้านประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าเชื่อถือต่างๆ จะพูดถึงอย่างคลุมเครือ แต่ก็ไม่มีข้อเท็จจริงให้ยืนยันได้
หยางหวั่นรู้สึกเสียใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ สวรรค์ก็ดูเหมือนจะเสียใจเช่นกัน
ครั้นแล้วในวันที่ ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’ ตีพิมพ์ออกมา หยางหวั่นที่อยู่ในงานประชุมเชิงวิชาการงานหนึ่งก็เดินทางข้ามกาลเวลาไปอย่างเรียบง่าย
รัชศกเจินหนิงปีที่สิบสองเป็นปีที่ ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’ เริ่มต้นขึ้นพอดี
หยางหวั่นเขียนไว้ในบทแรกของ ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’ ดังนี้
‘รัชศกเจินหนิงปีที่สิบสองเป็นปีที่มีความพลิกผันอย่างมากในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง เติ้งอี๋ ราชเลขาธิการสภาขุนนางถูกประหาร คล้ายว่าในที่สุดราชวงศ์หมิงที่ตกอยู่ในค่ำคืนอันแสนยาวนานได้เห็นแสงสว่างรำไรแล้ว ยากที่จะบอกได้ว่าชีวิตของเติ้งอิงจบสิ้นลงในปีนี้หรือเริ่มต้นขึ้นในปีนี้’
แต่ถ้าหากหยางหวั่นได้รับโอกาสอีกครั้ง เธอจะไม่มีวันเขียนบทแรกที่ดูดีและน่าเบื่อเช่นนี้แน่นอน
เธอจะต้องเปลี่ยนถ้อยคำสำนวนเป็นอีกแบบหนึ่ง เธอจะต้องขยับปากกาเขียนดังนี้…
‘รัชศกเจินหนิงปีที่สิบสอง ในที่คุมขังนักโทษที่หนานไห่จื่อ เติ้งอิงเข้าใจผิดในตัวฉันไปมาก เขาเข้าใจว่าฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา แต่ความจริงแล้วฉันเป็นเพียงผู้หญิงประหลาดในแวดวงวิชาการคนหนึ่งที่พยายามจะฉกฉวยข้อมูลจากตัวเขาเท่านั้น’