หยางหวั่นเจ็บจนตาหยี พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมานั่งมองฝ่ามือที่ถูกเสียดสี ก่อนจะเป่าไปที่บาดแผลหลายครั้งอย่างอับจนปัญญา
ครึ่งเดือนแล้วนางยังคงไม่เคยชินกับร่างกายนี้
คนในห้องยุ้งฉางล้วนไม่ส่งเสียง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเห็นหยางหวั่น
หลังจากหันไปมองนางโดยพร้อมเพรียงกันคราหนึ่งแล้ว ต่างก็ถอนสายตากลับไป
หยางหวั่นไอออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็คายรากหญ้าแห้งที่อยู่ในปากออกมา กำลังเตรียมจะลุกขึ้น แต่หน้าผากกลับชนเข้ากับนิ้วมือที่เย็นเฉียบของเติ้งอิง
นางรีบเงยหน้า แต่คนตรงหน้ายังคงนั่งพิงผนังเงียบๆ มือที่ยื่นมาตรงหน้านางแบออกมา บนข้อมือมีตรวนพันธนาการอยู่ เวลานี้แขนเสื้อบางๆ ของชุดนักโทษเลื่อนลงมาถึงข้อศอก เผยให้เห็นรอยแผลทั้งเก่าและใหม่บนแขนสลับกันไป
ช่างเป็นคนรูปงามเลิศล้ำยิ่ง…หยางหวั่นรำพึงรำพันอยู่ในใจ
ความรู้สึกแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ อย่างสมบูรณ์หลังจากถูกลงโทษย่ำยี เบื้องบนเป็นความเจ็บปวดจากการที่ครอบครัวถูกทำลาย คนในครอบครัวสูญสิ้น เบื้องล่างต้องอดทนต่อความอัปยศอดสูไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ แต่เขายังคงควบคุมความรู้สึกของตนเองไว้ได้ เรื่องนี้หากยกมาอยู่ในยุคปัจจุบันคงทำให้สตรีหลายคนหัวใจสลาย ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเงียบ มีสีหน้าสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา อากัปกิริยาสุภาพเหมาะสม ในขณะที่ยังคงรักษาความสงบนิ่งอยู่นั้นก็ไม่สูญเสียลักษณะท่าทางของผู้มีความรู้ความสามารถแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรๆ ข้าลุกขึ้นยืนเองได้” นางพูดพลางลุกขึ้นมาปัดเศษหญ้าแห้งบนร่างออกแล้วค่อยๆ เอาสมุนไพรบนพื้นไปกองไว้ข้างเท้าเติ้งอิง ม้วนแขนเสื้อขึ้น นั่งยองๆ ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “บาดแผลที่ข้อเท้าท่านถ้าปล่อยให้เสียดสีต่อไปก็จะเห็นกระดูกแล้ว ต่อไปภายหน้าอาจขาพิการเพราะเหตุนี้ ข้าไม่ได้เป็นหมอที่มีฝีมืออะไร ตำรายาสมุนไพรนี้ท่านยายเคยสอนข้าตอนเด็ก ไม่รู้ว่าจำได้ครบถ้วนหรือไม่ ถ้าหายท่านไม่ต้องขอบคุณ แต่ถ้าไม่หาย…” นางพูดพร้อมยื่นมือไปจะม้วนขากางเกงของเติ้งอิงขึ้น “แต่ถ้าไม่หายท่านก็อย่าตำหนิ…”
ตอนที่มือของหยางหวั่นจับกางเกง เติ้งอิงพลันขยับขาไปด้านข้าง นางไม่ทันได้ระวังจึงถูกแรงเหวี่ยงไปด้านข้างอย่างฉับพลันนี้ทำให้เซล้มลงไปอีกครั้ง
“ข้าว่าท่าน…”
เติ้งอิงยังคงไม่พูดไม่จา ในแววตาไม่มีความระแวดระวัง มีเพียงความไม่เข้าใจเล็กน้อยเท่านั้น
หยางหวั่นล้มคว่ำอยู่กับพื้น นางลูบหน้าตนเอง ดิ้นรนหยัดกายขึ้นมาแล้วนั่งขัดสมาธิตรงหน้าเขา ก่อนจะรวบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อยอย่างใจเย็น แบมือทั้งสองข้างออก พยายามทำให้เสียงของตนฟังดูจริงใจมากขึ้น
“ข้าขอบอกท่านตามตรง ข้าอยากจะทายาให้ท่าน ท่านเองก็พูดกับข้าตามตรง นี่ก็ครึ่งเดือนแล้ว ต้องทำอย่างไรท่านถึงจะยอมให้ข้าแตะต้องท่าน”
เติ้งอิงจับโซ่ตรวนบนมือไว้ ก้มลงดึงขากางเกงที่หยางหวั่นถลกขึ้นมาครึ่งหนึ่งลง จากนั้นวางมือบนหัวเข่าและหลับตาลงเงียบๆ
เขาทำเหมือนก่อนหน้านี้ที่โยนความอดทนทั้งหมดให้กับเจ้าของงานวิจัยด้านประวัติศาสตร์ผู้นี้ ขณะที่หยางหวั่นคิดว่าเวลานี้นางใจเย็นจนแม้แต่ตนเองก็ยังรู้สึกว่าเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
นางมองหน้าเติ้งอิง ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกแล้วเรียกชื่อของเขาออกมาคำหนึ่ง “เติ้งอิง”
คนตรงหน้าเพียงขยับเปลือกตา
ผู้ถูกตอนที่ค่อนข้างมีอายุผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างเติ้งอิงทนดูต่อไปไม่ไหว ส่งเสียงโน้มน้าวหยางหวั่นว่า “แม่นาง ตั้งแต่เขาถูกพาตัวมาที่นี่ก็ไม่เคยเปิดปากสักครา บางที…” เขาหยุดพูดพลางชี้ไปที่ลำคอ
หยางหวั่นฟังจบก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ฮ่าๆ ท่านลุงไม่รู้ว่าเขาพูดเก่งเพียงใด วันหน้าสามารถทำให้ผู้คนมากมายโมโหแทบตายเชียว”
ผู้สูงวัยฟังเสียงใสกังวานของนางแล้วก็ยิ้ม “แม่นางผู้นี้พูดจาได้น่าสนใจจริงๆ”
ไม่ว่าอยู่ในยุคสมัยใด การมีคนชมย่อมทำให้เบิกบานใจ
หยางหวั่นแบ่งสมุนไพรในมือส่วนหนึ่งยื่นให้ผู้สูงวัย “ท่านลุง ข้าเห็นที่มือท่านก็มีบาดแผล เอาสมุนไพรนี้บดละเอียดแล้วพอกไว้ มีประโยชน์ยิ่ง”
ผู้สูงวัยไม่กล้ารับ เขากลับย้อนถาม “สมุนไพรเหล่านี้แม่นางเอามาจากที่ใดหรือ”
“อ้อ” หยางหวั่นยกมือชี้ไปข้างนอก “เก็บมาจากลานเล็กในเรือนของขันทีหลี่”
พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ แม้แต่เติ้งอิงก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว