บทที่ 1.2 นกกระเรียนบาดเจ็บกับดอกฝูหรง
ถ้าบอกว่าเขาเวทนาสงสารเติ้งอิง ดูเหมือนเขาก็ไม่ได้มีจิตใจอ่อนไหวเพียงนั้น แต่ถ้าบอกว่ารังเกียจกลับไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม ถึงอย่างไรในช่วงสามปีที่เติ้งอี๋ทุจริตต่อหน้าที่ยึดอำนาจในสภาขุนนางและสังหารขุนนางนั้น เติ้งอิงได้รับช่วงต่อจากจางจั่นชุนผู้เป็นอาจารย์ของเขา จดจ่ออยู่กับการควบคุมเรื่องการออกแบบและก่อสร้างตำหนักสามแห่งของวังหลวง ช่วงหนึ่งเค่อก่อนที่กรมอาญาจะปฏิบัติตามคำสั่งไปจับตัวเขาไว้ เขายังอยู่บนหลังคาลาดเอียงของตำหนักโซ่วหวงแก้ไขตะเข้สัน ของหลังคากับช่างฝีมือทั้งหลายอยู่ด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นไร เติ้งอิงกับความผิดของบิดาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ทว่าในฐานะบุตรชายคนโตของเติ้งอี๋ เติ้งอิงยังคงถูกจับเข้าคุก
ตอนที่สามตุลาการ กำหนดโทษของเขาจึงมีความลำบากใจอย่างแท้จริง
การก่อสร้างในวังหลวงยังไม่แล้วเสร็จ จางจั่นชุนผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้ในช่วงแรกก็แก่ชราไร้ความสามารถ ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ เติ้งอิงเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวของจางจั่นชุน คนผู้นี้สอบได้จิ้นซื่อในปีเดียวกันกับหยางหลุนรองเสนาบดีกรมอากร เขาเป็นคนทำงานจริงจังที่หายากในหมู่ขุนนางรุ่นเยาว์ ไม่เพียงเชี่ยวชาญบทกวีวรรณกรรม ทว่ายังศึกษาเรียนรู้จนชำนาญงานด้านการก่อสร้าง หากยามนี้ตัดสินลงโทษประหารเขาเหมือนกับบุรุษคนอื่นๆ ในสกุลเติ้ง ในชั่วเวลาอันสั้นกรมโยธาไม่อาจหาคนเช่นเขามาทดแทนได้ ดังนั้นสามตุลาการและสำนักกิจการฝ่ายในจึงหารือเกี่ยวกับคนผู้นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่อาจตกลงกันได้ว่าจะจัดการกับเขาอย่างไรดี
ในที่สุดเหออี๋เสียน หัวหน้าขันทีผู้ควบคุมสำนักกิจการฝ่ายในก็เสนอวิธีหนึ่ง
‘ฝ่าบาททรงลงโทษประหารเติ้งอี๋ทั้งครอบครัว เพราะถูกเติ้งอี๋ปิดบังอำพรางมานานปี เมื่อความจริงปรากฏ ความเคียดแค้นจึงเพิ่มพูน ทรงทำไปด้วยความกริ้ว แต่วังหลวงเป็นที่ประทับของราชวงศ์ งานก่อสร้างซ่อมแซมเกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง ไม่อาจละทิ้งได้ การจะขจัดความโกรธแค้นในพระทัยของฝ่าบาท นอกจากโทษประหารชีวิตแล้ว…’
เขาพูดมาถึงตรงนี้ก็วางหนังสือที่แยกเสนอข้อคิดเห็นเป็นข้อๆ ซึ่งสามตุลาการร่างมาหลายครั้งแต่ก็ยังคงเป็นฉบับร่างอยู่แล้วพลิกมือเคาะลงไปบนนั้น หัวเราะหึๆ พลางบอก
‘ไม่ใช่ยังมีโทษทัณฑ์ราชสำนัก อยู่อีกข้อหนึ่งหรือ’
เรื่องนี้พูดไม่ถูกว่าเป็นวิธีที่อำมหิตหรือเมตตากันแน่ ให้ทางรอดทางหนึ่งแก่เติ้งอิง แต่ขณะเดียวกันก็ยุติชีวิตที่เคยสง่าผ่าเผยของเขาลง ด้วยเหตุนี้หยางหวั่นจึงได้เขียนไว้ในบทแรกของ ‘ชีวประวัติเติ้งอิง’
‘ยากจะบอกได้ว่าชีวิตของเติ้งอิงจบสิ้นลงในปีนี้หรือเริ่มต้นขึ้นในปีนี้กันแน่’
แน่นอน หลี่ซั่นและคนเหล่านี้ย่อมไม่มีมุมมองพระเจ้า เช่นหยางหวั่น พวกเขาไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อบุตรหลานของขุนนางชั่วที่ไม่มีความผิดอย่างชัดเจนผู้นี้อย่างไร
“เจ้ามองข้าไปก็ไม่มีประโยชน์” หลี่ซั่นไม่อาจสบตาเติ้งอิงต่อไปได้ จึงเดินไปที่ข้างกายเขาแล้วเป่ามือที่แห้งกร้านของตนเอง “แม้ข้าจะรู้สึกว่าการที่ชีวิตเจ้าต้องจบลงเช่นนี้ออกจะน่าเสียดาย แต่บิดาเจ้าทำความผิดร้ายแรง เวลานี้เจ้าไม่ต่างอะไรกับหนูขาหักข้ามถนนใครแตะต้องก็โชคร้าย ไม่มีใครกล้าสงสารเจ้า เจ้ายอมรับชะตากรรมเถิด ถือเสียว่าแบกรับความผิดแทนบิดา แสดงความกตัญญูสั่งสมบุญกุศลให้เขา แม้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ แต่เขาอาจสามารถบำเพ็ญเพียรเป็นร่างมนุษย์ ไม่ต้องตกอยู่ในภพภูมิเดรัจฉานก็เป็นได้”
คำพูดนี้ของหลี่ซั่นก็พูดได้ไม่ผิด ถ้าเติ้งอิงตายแล้วก็แล้วไป แต่การมีชีวิตอยู่กลับมีนัยทางการเมืองแฝงอยู่ ชีวิตของเขาต้องถูกราชสำนักนำมาทดสอบจุดยืนของผู้คนอยู่ตลอดเวลา
แม้แต่ก่อนเติ้งอิงจะไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับใคร แต่สถานการณ์ในเวลานี้พูดได้ว่าช่างมืดมนอย่างแท้จริง