ผู้ดูแลเห็นแล้วรำคาญใจ จึงผลักเขาจากด้านหลังพร้อมตวาด “เร็วเข้า! ยังคิดว่าตนเองอับโชคน้อยไปหรือ” จากนั้นผู้ดูแลก็เอามือซุกไว้ในแขนเสื้อก่อนพูดไปด่าไป “ทุกคนต่างพูดกันว่าเจ้าอยู่ที่หนานไห่จื่อได้ไม่นานก็จะต้องฆ่าตัวตาย แต่เจ้ากลับไม่ตาย ทั้งยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกกว่าครึ่งเดือน กรมอาญากับสำนักกิจการฝ่ายในมาซักถามพวกเราทุกวัน ไม่รู้ว่าอยากให้เจ้าตายหรืออยากให้เจ้าอยู่ วันนี้ผลลัพธ์ออกมาแล้วก็เดินเร็วหน่อยเถิด ถ่วงเวลานานเพียงใดก็ยังต้องประสบชะตากรรมเช่นเดิม หรือตอนนี้เจ้ากลัวแล้วอยากจะหนี หึ อย่าเหนื่อยไปเลย”
เวลานี้ผู้ดูแลพูดจาไม่น่าฟังอย่างยิ่ง
เติ้งอิงก้มหน้า นิ่งเงียบอดทนต่อทุกคำที่อีกฝ่ายพูดออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องลงทัณฑ์แล้ว
หนานไห่จื่อเดิมไม่มีห้องลงทัณฑ์ ห้องที่ใช้ลงทัณฑ์เติ้งอิงห้องนี้ความจริงแล้วเป็นห้องเล็กที่แขวนมุ้งผ้าฝ้ายห้องหนึ่ง เวลานี้ข้างในกำลังเผาถ่านไฟและจุดโคมไฟอยู่ มีคนจากกรมอาญาสองคนและเจิ้งเยวี่ยจยา ขันทีตรวจฎีกาของสำนักกิจการฝ่ายในกำลังนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้ ทั้งยังมีองครักษ์เสื้อแพรในชุดคลุมยาวสีดำสี่คนยืนอยู่ด้านนอกประตู
ผู้ดูแลรู้ว่าหน้าที่ของตนสิ้นสุดลงตรงเบื้องหน้านายท่านเหล่านี้แล้ว หลังจากส่งมอบคนอย่างระมัดระวังแล้วก็เดินจากไปโดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
เติ้งอิงเดินเข้าไปในห้องลงทัณฑ์เพียงผู้เดียว คนที่อยู่ข้างในกำลังสนทนากัน พอเห็นเขาเดินเข้ามาก็เพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาคราหนึ่งโดยไม่ได้หยุดพูด
“รองเสนาบดีหยางหลุนก็มาที่หนานไห่จื่อแต่เช้าหรือ”
เจิ้งเยวี่ยจยาพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “อืม สกุลหยางยังตามหาคุณหนูสามของพวกเขาอยู่”
“หายตัวไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว คุณหนูสามของพวกเขาเลื่องชื่อว่างดงามยิ่ง ถ้าตายไปแล้วบางทีอาจเป็นกองกระดูกที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ถ้ายังมีชีวิตอยู่…จะเป็นอะไรได้เล่า”
เจิ้งเยวี่ยจยาเป็นขันที เห็นได้ชัดว่าไม่มีความสนใจในเรื่องแปลกใหม่เหล่านี้ เขาเพียงพยักหน้าน้อยๆ ให้คนพูดแล้วเงยหน้ามองมาที่เติ้งอิง แสดงท่าทีให้คนปิดประตูหน้าต่าง ดึงมือกลับมาจากเตาอุ่นมือวางลงบนหัวเข่าแล้วเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรง พูดเสียงดังเล็กน้อย
“พระเมตตาของฝ่าบาทเจ้ารู้แล้วกระมัง”
“ขอรับ” คนที่ยืนอยู่ตอบอย่างสงบ
เจิ้งเยวี่ยจยาไม่ได้เพิ่งพูดคุยกับเติ้งอิงเป็นครั้งแรก แม้จะรู้ว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเป็นคนที่สุขุมเยือกเย็นมีความรู้มีการศึกษา แต่ไม่เคยคิดว่าการได้พบกันในสภาพเช่นนี้เวลานี้เติ้งอิงยังคงรักษามารยาทไว้ได้
“ดี” เจิ้งเยวี่ยจยาไม่อาจมีอารมณ์ความรู้สึกกับอีกฝ่ายมากเกินไป มิฉะนั้นจะกลายเป็นประเด็นให้ผู้อื่นเอาไปพูดคุย เขาตอบรับเพียงคำเดียวก็ไม่มองเติ้งอิงอีก ก่อนจะยกมือขึ้นบอกคนที่อยู่ด้านข้าง “ปลดเครื่องพันธนาการออกจากร่างเขา”
จากนั้นเจิ้งเยวี่ยจยาก็ฉวยจังหวะนี้พูดคุยกับขุนนางของกรมอาญาต่อ
“วันนี้ตอนใต้เท้ามาที่นี่ได้พบใต้เท้าหยางแล้วหรือ”
“ใช่ พวกเรามาที่หนานไห่จื่อพร้อมกับเขา เขาพาคนไปที่เนินเขาทางทิศตะวันตก แต่ข้าว่าคงหาไม่พบอะไร ปีนี้หนานไห่จื่อเก็บเกี่ยวได้ไม่ดีนัก เนินเขาทางทิศตะวันตกนั่นยิ่งแล้วใหญ่ แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่งอก”
เจิ้งเยวี่ยจยายิ้มพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าหยางรักน้องสาวผู้นั้นของเขามาก”
“หรือมิใช่เล่า ข้าเห็นสกุลจางยังยอมแพ้ มีเพียงเขาที่ยังตามหา ไม่เพียงตามหา แต่ยังปกป้องน้องสาวของเขาอย่างยิ่ง วันนี้ข้าปากมากพูดออกไปคำหนึ่ง บอกให้เขาไปถามชาวไร่ชาวนาในหนานไห่จื่อที่มีบุรุษฉกรรจ์ในครอบครัวเหล่านั้น ดูว่าจะมีข่าวอะไรหรือไม่ เจิ้งกงกง ลองเดาดูว่าเขาว่าอย่างไร ถ้าไม่มีคนดึงไว้ ข้าว่าเขาคงจะเข้ามาลงไม้ลงมือกับข้าแล้ว”
เจิ้งเยวี่ยจยาไม่ต่อบทสนทนาของอีกฝ่าย เพียงกล่าวยิ้มๆ “ใต้เท้าเองก็ไม่ระวังวาจา”
คนผู้นั้นเอ่ยตอบ “ข้าก็แค่พูดกับท่านเท่านั้น นี่ไม่ใช่เพราะรู้ว่าท่านบรรพชนที่อยู่เบื้องบนของท่านผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับหยางหลุนหรือ พวกเขาที่ออกมาจากหกหน่วย เหล่านี้ทุกวันเอาแต่ด่าทอเสนาบดีรองเสนาบดีกรมต่างๆ ด่าทอที่ทำการ ด่าทอสำนักกิจการฝ่ายในและยี่สิบสี่ที่ทำการ ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย สมัยนี้ในราชสำนักใครบ้างไม่ลำบาก สิ่งที่หยางหลุนก่อกรรมทำเข็ญไว้อาจไม่ตามสนองไปที่ตัวเขา แต่อาจตามสนองไปที่ครอบครัวของเขาก็เป็นได้”
เจิ้งเยวี่ยจยาแย้มยิ้มแต่ไม่พูด เพียงมองไปที่เติ้งอิง เขากำลังยื่นมือให้คนช่วยปลดเครื่องพันธนาการอยู่