ตรวนกุญแจมือและโซ่เหล็กที่ถูกถอดออกมาส่งเสียงดังกังวานและกองอยู่ที่ข้างเท้าเขา
ขุนนางของกรมอาญารู้สึกว่าเมื่อครู่ตนออกจะพูดเกินเลยไปสักหน่อย เห็นหน้าที่ของตนเองเสร็จสิ้นแล้วจึงลุกขึ้นยืน
“เรียบร้อยแล้ว เจิ้งกงกง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปกรมอาญาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นี้อีก ต้องขอมอบให้สำนักกิจการฝ่ายในของพวกท่านโดยเด็ดขาดแล้ว”
เจิ้งเยวี่ยจยาเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน “ย่อมไม่มีปัญหา”
ขุนนางของกรมอาญามองเติ้งอิงที่สวมเสื้อผ้าบางๆ คราหนึ่ง จากนั้นก็ทอดถอนใจ “เฮ้อ…ดวงชะตาในปีนี้ไม่ดีจริงๆ ตอนต้นปีสังหารคน ปลายปีก็สังหารคน คนในพรรคเติ้งทั้งรังก็ตายหมดแล้ว”
พอพูดจบก็สั่นศีรษะและพาคนเดินออกไป
เจิ้งเยวี่ยจยารอคนเหล่านั้นเดินออกไปแล้วก็เอามือไพล่หลังเดินมาตรงหน้าเติ้งอิง
เติ้งอิงเงยหน้าขึ้นเงียบๆ แววตาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่คนดูผ่ายผอมกว่าที่เห็นครั้งก่อนมาก
เจิ้งเยวี่ยจยาอดถอนหายใจไม่ได้ ยื่นมือไปตบบ่าเติ้งอิงเบาๆ “ร่างกายยังดีอยู่หรือไม่”
“ยังดีอยู่”
“ดีแล้ว” เขาพูดจบก็เก็บมือกลับไปและปรับเสียงให้เป็นงานเป็นการมากขึ้น “ตามความเห็นของท่านผู้อาวุโส เขาอยากให้เจ้าเข้าสำนักศึกษาฝ่ายใน** แม้เจ้าจะเป็นขันที แต่ยังสามารถสอนหนังสือในสำนักศึกษาฝ่ายในของเราเช่นเดียวกับพวกหยางหลุนและคนอื่นๆ ได้ ยามว่างก็พูดคุยเกี่ยวกับบทกวีและบทความให้บุตรหลานในสำนักศึกษาฝ่ายในเหล่านั้นฟัง ถ้าเห็นว่ามีต้นกล้าที่ดีก็ให้คำชี้แนะเกี่ยวกับสองศาสตร์ทั้งด้านก่อสร้างและวิชาการ แล้วยังมีเรื่องสามตำหนักของวังหลวง การก่อสร้างที่นั่นเจ้ายังคงเป็นตัวหลัก กรมโยธาจะส่งเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งมาร่วมงานกับเจ้า แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ต้องรอจนกว่าร่างกายเจ้าจะหายดีก่อน”
“ขอรับ” เติ้งอิงตอบอย่างสงบนิ่ง
เจิ้งเยวี่ยจยาเห็นเขาไม่มีท่าทีจะพูดอะไรมากก็นิ่งเงียบตามไปด้วย ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ๆ ก็เอ่ยถาม “ไม่มีอะไรจะพูดหรือ เรื่องที่หลี่ซั่นไม่อาจจัดการได้ ข้าย่อมจัดการได้”
เติ้งอิงเงยหน้า เปิดปากพูดในเรื่องที่ทำให้เจิ้งเยวี่ยจยาคาดไม่ถึง “โปรดบอกใต้เท้าหยางหลุนสักคำ ที่หนานไห่จื่อมีสตรีผู้หนึ่ง อาจเป็นน้องสาวของเขาก็ได้”
เจิ้งเยวี่ยจยานิ่งงันไป “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เติ้งอิงสั่นศีรษะพลางกล่าวว่า “ข้ามีความผิดติดตัว ไม่สะดวกจะพูดอย่างละเอียด”
เจิ้งเยวี่ยจยาพยักหน้าน้อยๆ และไม่ได้ซักถามเรื่องเดิมอีก “เวลานี้นางอยู่ที่ใด”
“ตอนนี้ข้าไม่ทราบ ร่างกายนางมีบาดแผล บางทีก่อนหน้านี้อาจตกจากเนินเขา สิบกว่าวันมานี้พักอยู่ด้านนอกห้องยุ้งฉางที่ข้าถูกควบคุมตัวอยู่”
เจิ้งเยวี่ยจยาขมวดคิ้ว “เกรงว่าคงไม่ใช่ ครึ่งเดือนมานี้ด้านนอกหนานไห่จื่อตามหานางมาโดยตลอด ทั้งเมืองหลวงโกลาหลกันไปหมด นางไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้ เพราะเหตุใดไม่ไปหาหลี่ซั่นเพื่อขอความช่วยเหลือเล่า”
นี่เป็นคำถามที่อยู่ในใจเติ้งอิงมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่บังเอิญได้ยินเจิ้งเยวี่ยจยากับขุนนางของกรมอาญาสนทนากัน เขาเองก็ยากจะเชื่อ น้องสาวของหยางหลุน สตรีที่หมั้นหมายกับบุตรชายสายตรงคนของสภาขุนนาง พูดออกมาในคืนก่อนที่เขาจะเข้ารับโทษทัณฑ์ว่าชั่วชีวิตนี้จะมีชีวิตอยู่เพื่อเขา
เจิ้งเยวี่ยจยาเห็นเขาไม่พูดก็ถามต่อไปอีก “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางก็คือน้องสาวของหยางหลุน”
เติ้งอิงหลุบตาพลางตอบ “นางมีจี้หยกฝูหรงอยู่สองชิ้น”
สกุลหยางชื่นชอบหยก คนในตระกูลไม่ว่าชายหญิงต่างชอบพกหยกกันทั้งสิ้น
เติ้งอิงพูดมาถึงจุดนี้เจิ้งเยวี่ยจยาก็ตกตะลึง จากนั้นก็ถอนหายใจ “บางทีเจ้าอาจเดาถูกแล้ว” เขาพูดแล้วหันไปกล่าวกับคนด้านนอก “บอกให้หลี่ซั่นมาหาข้า” จากนั้นก็กอดอกแล้วถามเติ้งอิง “นอกจากเรื่องนี้ก็ไม่มีคำพูดอื่นแล้วหรือ”
“ไม่มี”
น้ำเสียงเติ้งอิงเรียบนิ่ง ดูจงใจทำตัวเหินห่าง เจิ้งเยวี่ยจยายอมรับเจตนาของเขา เพียงพยักหน้าบอกว่า “ได้ เช่นนั้นข้าไปก่อน”
คำพูดเยียบเย็น ความหมายก็จืดจาง