เขาบอกว่าหลังจากเติ้งอิงถูกลงทัณฑ์ได้เอา ‘ของรัก’ ของตนเก็บไว้ในโถดินเผาเล็กๆ ใบหนึ่งแล้วพกติดตัวไว้ตลอดเวลา ต่อมาเขาได้เป็นผู้บัญชาการสำนักบูรพา และซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ในเมือง จากนั้นก็นำโถดินเผาฝังไว้ที่รากต้นอวี๋ หน้าห้องโถงใหญ่ด้านนอกและสั่งให้คนรดน้ำทุกวัน กล่าวกันว่าเป็นการ ‘ปลูกแก่นราก’ หากตอนปลูกแก่นรากในใจมีความเลื่อมใสศรัทธาก็อาจหลบพ้นจากการปัดกวาดรากตอในวังได้ และสิ่งที่อยู่ข้างใต้ยังสามารถเจริญเติบโตขึ้นมาได้ น่าเสียดายที่ในเวลาต่อมาเติ้งอิงได้รับโทษประหาร คนหนุ่มสาวจากพรรคตงหลิน ที่โกรธแค้นได้ขุดโถดินเผาออกมาทุบแตก เอาสิ่งเน่าเปื่อยข้างในออกมาแล้วเผาเป็นเถ้าถ่าน
หยางหวั่นอ่านมาถึงตรงนี้ก็ตัดสินใจทิ้งข้อมูลทั้งหมดของปัญญาชนสมัยราชวงศ์ชิงผู้นี้ไปอย่างไม่ลังเล
การศึกษาวิจัยทางด้านประวัติศาสตร์ ไม่ต้องพูดถึงทัศนคติ แม้แต่ความรู้สึกส่วนตัวก็ไม่ควรมี
คนผู้นั้นต้องบิดเบี้ยวเพียงใดถึงได้แต่งเรื่องไร้สาระอย่างเรื่องเติ้งอิง ‘ปลูกแก่นราก’ ออกมาได้
หยางหวั่นยึดติดกับเติ้งอิงอย่างยิ่ง ไม่อาจยอมรับนักวิจัยประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงคนใดที่ลบหลู่ตัวตนของเติ้งอิงไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม และสิ่งที่โต้แย้งบันทึกส่วนตัวซึ่งบรรยายอย่างสับสนเหล่านี้ได้ดีที่สุดก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าข้อมูลจริงจากมือตนเอง
จะมีข้อมูลอะไรที่ถูกต้องไปกว่าการอยู่ที่นั่นในเวลานั้นและเห็นทุกอย่างด้วยตาของตนเองอีกเล่า
ในใจของหยางหวั่นเข้าใจทุกอย่าง แต่จะพูดอย่างไรดี
คนในเอกสารด้านประวัติศาสตร์ผู้นั้นคือคนตาย ไม่มีเขตแดนระหว่างเขากับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่มีความเป็นส่วนตัว ชีวิตที่ดับสลายไปแล้วของพวกเขาก็มีไว้ให้ชนรุ่นหลังคอยสอดส่อง
แต่เติ้งอิงที่มีชีวิตอยู่ตรงหน้าหยางหวั่นผู้นี้ไม่เหมือนกัน เขาไม่ใช่กองถ่านที่เผาไม่ติด ไม่ต้องจุดไฟใหม่
หยางหวั่นรู้สึกว่าอย่างน้อยในช่วงเวลาและในที่นี้ เขานอกจากจะเป็นหัวข้องานวิจัยของตนแล้ว ยังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่อีกด้วย
นางกับเขาทัดเทียมกัน
ช่างเถิด…
สุดท้ายนางก็ตัดสินใจไม่เอาข้อมูลจริงในยามนี้ ไม่ฟังเสียงร้องที่น่าเวทนาจากในลำคอของเขา
นางยืนขึ้นแล้วปัดเศษหิมะบนผม แต่ยังคงมีท่าทีไม่ยินยอมพร้อมใจ หันหน้ากลับไปมองผนังที่เต็มไปด้วยตะไคร่เขียวอีกครั้ง
ช่างเถิด…
นางเอ่ยคำนี้ในใจอีกครั้ง
รอเขาดีขึ้นแล้วค่อยว่ากัน อย่างไรเสียตอนนี้…ก็ไม่ใช่ส่วนที่สำคัญมาก
ทางด้านเนินเขาทางทิศตะวันตก หยางหลุนยืนอยู่ข้างเสาผูกม้า รับกาน้ำมาแล้วเงยหน้าขึ้นดื่มน้ำ
หลี่ซั่นเร่งร้อนมาจากถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ ทางหนึ่งพยายามวิ่ง อีกทางหนึ่งก็ทักทายหยางหลุน “ใต้เท้าหยาง ท่านมาที่หนานไห่จื่อก็ไม่บอกให้ข้ารู้สักคำ ข้า…”
เขามีอายุแล้ว วิ่งไปพูดไปอย่างร้อนใจ แต่พูดยังไม่ทันจบก็สำลักลมหิมะเต็มปอดอยู่กลางทาง ซวนเซเล็กน้อยพลางไอออกมา
หยางหลุนโยนกาน้ำให้บ่าวรับใช้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาหลี่ซั่นหลายก้าว “หลี่กงกงไม่จำเป็นต้องตั้งใจมาเป็นพิเศษ พวกท่านทำงานให้ฝ่าบาท เรื่องของข้าไม่อาจรบกวนพวกท่านมาดูแล”
เขาพูดจาอย่างระมัดระวังและเหมาะสมยิ่ง