หลี่ซั่นได้รับความเคารพและให้เกียรติ ในใจก็มีความมั่นใจมากขึ้น ทางหนึ่งผ่อนลมหายใจ ทางหนึ่งก็มองประเมินบุรุษที่อยู่ตรงหน้า
หยางหลุนกับเติ้งอิงสอบได้จิ้นซื่อปีเดียวกัน ทั้งยังเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์และเป็นสหายกัน แม้คนหนึ่งจะเข้าไปอยู่ในกรมสำคัญอย่างกรมอากร อีกคนก็ทำงานในกรมโยธาอย่างจริงจัง วิถีในการเป็นขุนนางไม่เหมือนกัน แต่ก็มักจะถูกคนในเมืองหลวงนำมาเปรียบเทียบกัน
หยางหลุนเวลานี้อายุยี่สิบแปดปี โตกว่าเติ้งอิงสี่ปี รูปร่างก็สูงกว่าเติ้งอิงเล็กน้อย คิ้วเข้ม ดวงตางามได้รูป โครงหน้าหมดจดคมสัน วันนี้เขาสวมชุดลำลองเสื้อคลุมยาวสีเขียวอมดำ สายคาดเอวสีดำ และมีหยกประดับรูปดอกทานตะวันสีเขียวห้อยอยู่ตรงสายคาดเอว ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่หนาวเย็น สีหน้าอากัปกิริยาเรียบร้อย เรือนร่างสูงตระหง่าน ยิ่งขับเน้นให้กลุ่มผู้ถูกตอนและผู้ที่กำลังทำงานอยู่บนเนินเขาไหล่งอหลังค่อมมากขึ้น
สกุลหยางโอ้อวดว่าเป็นพวกมือสะอาดในแวดวงขุนนาง มีขนบธรรมเนียมในจวนที่เที่ยงธรรม คนในวงศ์ตระกูลชื่นชอบหยก เลื่อมใสในวรรณกรรม แต่ความจริงแล้วคนรุ่นก่อนแทบทั้งหมดล้วนเป็นพวกทำอะไรตามกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน ไม่ได้สร้างคุณงามความดียิ่งใหญ่มากนัก ทว่าทุกคนก็ทำได้ไม่เลว นายท่านผู้เฒ่าหยางสูงวัยเกษียณแล้ว บำเพ็ญพรตอย่างสงบที่อารามบนภูเขาแห่งหนึ่งในเจ้อเจียง ในอดีตเคยมีตำแหน่งขุนนางเป็นราชบัณฑิตและเคยอยู่ในสภาขุนนางของราชวงศ์ก่อน นับได้ว่าเป็นผู้โดดเด่นในหมู่ผู้ศึกษาเล่าเรียน แต่ชนรุ่นหลังกลับไม่เอาการเอางานสักเท่าใดนัก นอกจากหยางหลุนที่เป็นขุนนางโดยผ่านการสอบเคอจวี่แล้วก็มีเพียงน้องชายต่างมารดาของหยางหลุนและเด็กหนุ่มที่เพิ่งอายุสิบสี่ปีผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อว่าหยางชิ่งที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ที่เหลือล้วนเป็นบุรุษกางเกงแพร รั้งอยู่เมืองหลวงต่อไม่ได้แล้วก็พากันลงใต้ทำการค้าพวกผ้าไหมผ้าฝ้ายอยู่ที่บ้านเกิดในเจ้อเจียง
ทว่าสกุลหยางตระกูลนี้แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่คนงาม ไม่ว่าบุรุษสตรีส่วนใหญ่รูปโฉมโดดเด่นเหนือผู้อื่น พวกหยางหลุนกับหยางชิ่งก็เป็นเช่นนั้น บุตรสาวสองคนของจวนสกุลหยางอย่างหยางสวี่กับหยางหวั่นยิ่งเป็นที่หมายตาของตระกูลขุนนางในเมืองหลวง ต่างแย่งชิงกันมาขอหมั้นหมาย สี่ปีก่อนหยางสวี่เข้าวัง หลังจากให้กำเนิดองค์ชายก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นหนิงเฟยหยางหวั่นก็หมั้นหมายกับจางลั่วผู้กำกับการกองเจิ้นฝู่เหนือ เดิมทีควรจะเข้าพิธีแต่งงานเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ช่วงปลายปีมีคดีใหญ่ของเติ้งอี๋ ในคุกหลวงของกองเจิ้นฝู่เหนือมีคนถูกขังอยู่เต็มไปหมด จางลั่วอยู่ท่ามกลางกองเนื้อกลิ่นคาวโลหิตจึงปลีกตัวออกไปไม่ได้แม้เพียงชั่วขณะ
หลังจากคดีสกุลเติ้งสิ้นสุด เขาก็รับพระบัญชาเดินทางไปทางใต้ เรื่องแต่งงานจึงต้องวางลงชั่วคราว
อย่างไรก็ตามการแต่งงานระหว่างจางหยางสองตระกูลยังคงเป็นเรื่องใหญ่ของเมืองหลวง ทว่าเหตุการณ์ในเวลานี้กลับทำให้คนทอดถอนใจ
นับแต่หยางหวั่นหายตัวไปจากอารามหลิงกู่ ตอนแรกสกุลจางก็ร้อนใจ ให้คนค้นหาไปทั่วทุกแห่ง แต่ค้นหาอยู่หลายวันก็ไม่พบ จากนั้นก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงหยางหวั่นอีกราวกับไม่มีการหมั้นหมายกันเช่นนั้น
เวลาผ่านไปครึ่งเดือนแม้แต่คนของจวนสกุลหยางก็เริ่มหมดกำลังใจ มีเพียงหยางหลุนที่ไม่ยอมล้มเลิกความพยายาม
ปกติต้องจัดการงานของทางการในกรม ทั้งยังต้องค้นหาบริเวณรอบๆ อารามหลิงกู่ เหน็ดเหนื่อยมาครึ่งเดือน คนก็ผ่ายผอมลงกว่าแต่ก่อนมาก
“ใต้เท้าหยางต้องถนอมร่างกายด้วย” หลี่ซั่นอดเอ่ยเตือนเขาไม่ได้
หยางหลุนไม่ได้ตอบรับหลี่ซั่น เพียงพูดออกมาตามตรง “วันนี้ข้ามาตามหาน้องสาวของข้า เมื่อวานได้ยินชาวไร่ชาวนาในหนานไห่จื่อผู้หนึ่งบอกว่าครึ่งเดือนก่อนดูเหมือนจะมีหลายคนตกจากเนินเขา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมาดู รอพระอาทิตย์ตกก็จะไป หลี่กงกงทำงานของท่านไปเถิด”
หลี่ซั่นรีบบอก “ที่ข้ามานี่ก็เพื่อจะบอกเรื่องนี้กับใต้เท้าโดยเฉพาะ” พอพูดจบก็หยิบจี้หยกฝูหรงชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “วันนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเก็บได้ที่นอกห้องยุ้งฉาง ใต้เท้าลองดู ใช่ของจวนท่านหรือไม่”
หยางหลุนมองคราเดียวก็จำจี้หยกชิ้นนี้ได้ นี่เป็นจี้หยกที่ทำมาจากหยกซึ่งเขานำกลับมาจากลั่วหยางเมื่อปีที่แล้ว