เขารับมากำไว้ในมือทันที ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “น้องสาวข้าอยู่ที่ใด”
หลี่ซั่นเอ่ยปลอบโยนเขา “ใต้เท้าหยางอย่าเพิ่งใจร้อน คนที่หนานไห่จื่อกำลังตามหาแล้ว แต่ตอนนี้ยังหาไม่พบ ข้า…” ขณะที่พูดในใจหลี่ซั่นก็ลังเล กลั่นกรองคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง ปลอบใจตนเองแล้วก็เอ่ยถาม “ขอเสียมารยาทถามใต้เท้าสักคำ ใต้เท้ากับเติ้งอิงเป็นสหายเก่ากัน แล้วน้องสาวของใต้เท้ารู้จัก…”
“น้องสาวข้าได้รับการเลี้ยงดูอยู่ข้างกายมารดาข้ามาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยพบบุรุษอื่นเป็นการส่วนตัว จะรู้จักเติ้งอิงได้อย่างไร!”
หยางหลุนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ หลี่ซั่นจึงดึงหยางหวั่นไปเกี่ยวโยงกับเติ้งอิง เมื่อคิดว่ากองเจิ้นฝู่เหนือเพิ่งสั่งปิดสำนักศึกษาถงจยาที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้เติ้งอิงไป เขาก็หวาดหวั่นขึ้นมา จึงใช้คำพูดกดดันหลี่ซั่นโดยตรง
“ถ้าเป็นตัวข้าเองก็แล้วไปเถิด แต่นี่น้องสาวข้าเป็นสตรี จะถูกพาดพิงเช่นนี้ได้อย่างไร หลี่กงกงไม่อาจพูดจาเรื่อยเปื่อย ต้นปีที่หนานไห่จื่อของพวกท่านมีเรื่องมากมาย ไม่ค่อยสงบอยู่แล้ว หากเวลานี้ท่านยังจะ…”
“ขอรับ ข้าทราบแล้ว”
หลี่ซั่นค้อมกายตัดบทเขา ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องที่ตรวจสอบซักถามมาได้จากห้องยุ้งฉางที่ว่าหยางหวั่นไปเยี่ยมเติ้งอิงหลายครั้งหลายหน
“ใต้เท้า พวกเราเป็นบ่าว เห็นจี้หยกนี้แล้วก็ร้อนใจ กลัวว่าใต้เท้าจางลั่วกลับมาเมืองหลวงรู้ว่าพวกเราตาบอดจำไม่ได้ว่าเป็นแม่นางหยาง ปล่อยให้นางได้รับความลำบากอยู่ที่นี่หลายวันแล้วจะพานายท่านองครักษ์เสื้อแพรเหล่านั้นมาถลกหนังบนร่างพวกเรา เวลานี้เจ้าหน้าที่เบื้องล่างกำลังตามหากันอยู่ ใต้เท้าหยางรออีกสักหน่อย ไม่แน่คืนนี้ก็คงจะหาพบแล้ว”
หยางหลุนฟังคำพูดประโยคนี้จบก็เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของหลี่ซั่น แต่คำพูดเมื่อครู่ของอีกฝ่าย เมื่อคิดดูและใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วเขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“เมื่อครู่…เพราะเหตุใดท่านถามถึงเติ้งอิงเล่า”
หลี่ซั่นไม่กล้าสบตาหยางหลุน
หยางหลุนปรับน้ำเสียงให้เรียบ “เมื่อครู่ข้าพูดจาหุนหันพลันแล่นเกินไป หลี่กงกงอย่าได้ถือสา”
หลี่ซั่นถอนหายใจคราหนึ่ง ยังคงจับจ้องปลายเท้าของตน “ไม่รู้ว่าพวกผีอ่อนแอ ที่หนานไห่จื่อพูดจาส่งเดชหรือไม่ บอกว่าสิบกว่าวันมานี้มีแม่นางผู้หนึ่งลอบดูแลเติ้งอิงอยู่ตลอด สมุนไพรที่ตากอยู่ในลานเล็กของข้าก็ถูกคนเคลื่อนย้ายไปยังที่คุมขังคนผู้นั้นหลายครา ข้าตรวจสอบดูแล้วหลายอย่างเป็นสมุนไพรที่ใช้รักษาบาดแผลภายนอก” เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดต่อเสียงเบา “ใต้เท้าหยาง ข้าทราบว่าน้องสาวของใต้เท้าหมั้นหมายกับสกุลจางแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียง พูดออกไปย่อมไม่ดีต่อนาง ดังนั้นจึงโบยคนที่สมควรโบยไปแล้ว”
คำพูดเหล่านี้พอกล่าวจบคนที่อยู่ตรงหน้ากลับนิ่งเงียบไม่มีอาการตอบสนอง หลี่ซั่นอดไม่อยู่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายคราหนึ่งก็เห็นหยางหลุนมีสีหน้าเคร่งเครียด มือกำแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว
“ใต้เท้า…”
“ข้าทราบแล้ว รบกวนหลี่กงกงแล้ว”
น้ำเสียงนี้เป็นการกัดฟันเอ่ยอย่างชัดเจน หลี่ซั่นฟังแล้วกระดูกสันหลังก็เย็นเยียบ รีบพูดว่า “มะ…มิกล้าๆ” จากนั้นก็ประสานมือแล้วบอกอีกว่า “ใต้เท้า พวกเราเดิมทีก็มีความผิด ก่อนหน้านี้เจิ้งกงกงแห่งสำนักกิจการฝ่ายในมาที่นี่ก็ถามถึงเรื่องนี้ พวกเราจึงได้รู้ว่าก่อเรื่องขึ้นแล้ว ไม่กล้าไม่รับผิดชอบ ใต้เท้าต้องการสิ่งใด บอกเรามาได้ทันที”
หยางหลุนฝืนระงับความอับอายและความโกรธในใจเอาไว้ เขามองไปทางด้านหลังหลี่ซั่นคราหนึ่ง
ท่ามกลางหิมะแรกที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่อันกว้างใหญ่ดูขาวโพลนจนสุดลูกหูลูกตา ไม่ว่าสิ่งใดก็เห็นไม่ชัดเจน
“เติ้งอิงยังอยู่ที่หนานไห่จื่อหรือไม่”
“ยังอยู่”
“จะลงทัณฑ์เมื่อใด” ตอนกล่าวคำพูดประโยคนี้เขากำจี้หยกในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
หลี่ซั่นก็หันไปมองข้างหลังคราหนึ่ง “จางหูจื่อไปแล้ว ดูเวลาแล้ว…น่าจะเป็นตอนนี้”
“อืม” หยางหลุนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ คล้ายกำลังลังเลว่าควรถามต่อไปอย่างไรเพื่อให้ฟังดูแล้วไม่มีความรู้สึกกับเติ้งอิงมากจนเกินไป “จากนั้นเล่า”
“จากนั้นก็รักษาตัวอยู่กับพวกเราสองสามวัน แล้วก็ส่งไปยังสำนักกิจการฝ่ายในผ่านกรมพิธีการ”
“อ้อ” เขายุติหัวข้อสนทนาลงในเวลานี้ พลิกกายขึ้นหลังม้า “ข้าจะตามพวกท่านเข้าไปที่หนานไห่จื่อ ตามหานางด้วยกัน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 ก.ค. 68