นางมองไปที่เติ้งอิงอย่างไม่รู้ตัว “ทะ…ทะ…ท่านรู้หรือไม่ว่าคนที่อยู่ข้างนอกคือใคร”
เติ้งอิงจำเสียงหยางหลุนได้ แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดหยางหวั่นถึงจำไม่ได้ แต่ยังคงตอบนาง “พี่ชายของเจ้า หยางหลุน”
“อะไรนะ หยางหลุน พี่ชายของข้าหรือ” หยางหวั่นมองไปที่หน้าต่าง รีบตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในประวัติศาสตร์ช่วงนี้อยู่ในใจอย่างรวดเร็ว
หยางหลุนเป็นผู้ช่วยราชเลขาธิการสภาขุนนางในรัชสมัยจิ้งเหอ ตอนรัชศกเจินหนิงปีที่สิบสองยังดำรงตำแหน่งในกรมอากร มีน้องสาวร่วมมารดาผู้หนึ่ง ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกชื่อนางไว้ ทราบเพียงว่าหยางหลุนให้นางรับหมั้นจางลั่ว ผู้กำกับการกองเจิ้นฝู่เหนือ แต่ยังไม่ทันได้แต่งงานก็พลัดตกน้ำเสียชีวิต
น้องสาวร่วมอุทรของหยางหลุนมีชื่อว่าหยางหวั่น เช่นนั้นร่างของนางในเวลานี้…
ไม่จริงกระมัง
หยางหวั่นเอามือกุมท้ายทอย ชั่วขณะนั้นไม่รู้ควรหัวเราะหรือควรร้องไห้ดี
“หยางหวั่น ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง เจ้าต้องออกมาเอง!”
เสียงของหยางหลุนราวกับเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นมาแล้ว
หยางหวั่นขยับก้าวไปทางประตูหลายก้าว เดิมทีคิดจะลอบมองคนผู้นั้นสักคราหนึ่ง ปรากฏว่าเพิ่งเปิดประตูแง้มเป็นช่องเล็กก็ถูกหยางหลุนดึงตัวออกไปแล้ว
หยางหลุนโกรธจัด ไม่รู้ว่าบนร่างนางมีบาดแผล ใช้กำลังดึงนางไปหลายก้าว หยางหวั่นจับคอตนเอง เจ็บจนนางสั่นไปทั้งร่าง คิดจะดิ้นให้หลุดแต่ก็ไม่กล้าขยับส่งเดช จึงถูกหยางหลุนแทบจะลากไปกับพื้นหิมะเช่นนี้
หลี่ซั่นเห็นภาพนี้แล้วก็รีบให้คนที่อยู่รอบด้านแยกย้ายกันไปแล้วเข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยตนเอง “ใต้เท้าหยาง รีบให้คุณหนูเข้าไปข้างในตรวจดูว่าได้รับบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่เถิด”
หยางหลุนมองหยางหวั่นที่ฟุบอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้น มวยผมของนางหลุดไปนานแล้ว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ร่างกายดูแล้วมีแต่รอยถลอก
เขาคิดจะอุ้มนางขึ้นมา แต่ก็จำต้องอดทนข่มกลั้นไว้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในคือใคร! หา?!”
หยางหวั่นแข็งใจลุกขึ้นนั่ง เอามือที่หนาวแข็งจนแดงก่ำซุกไว้ในอกเสื้อของตน ระหว่างนั้นก็กวาดตามองหยางหลุนเร็วๆ คราหนึ่ง
คนผู้นี้รูปร่างสูงตระหง่าน สันกรามเฉียบคม มองอย่างผิวเผินดูเป็นคนสำรวมไม่ค่อยยิ้มไม่ค่อยพูด แต่ความจริงแล้วเป็นดังเช่นข้อมูลประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ รูปโฉมงดงาม ท่าทีสง่าผ่าเผย มีความสามารถ
“พูด!”
หยางหวั่นถูกทำให้ตกใจจนสั่นเทาไปทั้งร่าง
เอาเถิด รูปงามก็รูปงามอยู่ แต่อารมณ์ฉุนเฉียวไปหน่อย
“ข้ารู้อยู่…”
“ในเมื่อรู้ เพราะเหตุใดต้องทำให้ตนเองเสื่อมเสียเกียรติ!”
แม้หยางหวั่นจะกระจ่างแจ้งแก่ใจดี เติ้งอิงในรัชศกเจินหนิงปีที่สิบสองเป็นบุคคลต้องห้าม แต่นั่นก็เป็นเพียงการบรรยายในเอกสารทางประวัติศาสตร์ ผู้คนในอีกยุคสมัยหนึ่งเพียงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังทางการเมืองเท่านั้น ยากที่จะรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวในจิตใจโดยธรรมชาติของมนุษย์
แต่คำพูดที่ออกจากปากหยางหลุน ‘ทำให้ตนเองเสื่อมเสียเกียรติ’ ประโยคนี้กลับทำให้หยางหวั่นตกตะลึง
คนผู้นี้เคยเป็นสหายสนิทของเติ้งอิง หยางหวั่นมองประตูของห้องลงทัณฑ์ ยามนี้แม้แต่เสียงลมเสียงหิมะยังนับว่าดัง พัดบานประตูตอนที่หยางหวั่นออกมาแล้วยังไม่ทันได้ปิดดังปึงปัง คำว่า ‘ทำให้ตนเองเสื่อมเสียเกียรติ’ นี้ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างในจะได้ยินหรือไม่