เซียวจิ้งมองไปที่ใบเรือขนาดใหญ่ซึ่งห้อยอยู่ครึ่งใบตรงหน้า รู้ว่านางพูดไม่มีผิด หากว่าเขาไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วย เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่มีทางถูกผ้าใบฟาดโดน เมื่อครู่นางเพิ่งจะพิสูจน์ข้อนี้ให้เห็น เพียงแต่ว่า…เขาเงยหน้ามองไปยังเสากระโดงเรือขนาดยักษ์ ใบเรือ และเชือกพวน คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางเลือกทางนี้ วิธีนี้ค่อนข้างเปลืองแรง อีกทั้งยังแทบเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ
“เจ้ามั่นใจในวิธีการของตัวเองมาก?” เขาเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
เดิมจั้นชิงหลงคิดว่าเขาจะเทศนาเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับชีวิตคนสำคัญที่สุดสักรอบหนึ่ง แต่ในตอนที่นางสังเกตสีหน้าของเขา กลับต้องตกใจที่พบว่าเขาเพียงแค่อยากจะรู้คำตอบเท่านั้นจริงๆ ไม่ได้กำลังตำหนิวิธีการของนางอยู่
นางมองใบหน้าด้านข้างของเขาที่กำลังตั้งใจมองเสากระโดงเรืออย่างสงสัย ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ
“ข้าเติบโตมาบนเรือตั้งแต่เด็ก คุ้นเคยกับความยาวเชือกพวนทุกเส้น ความสูงของเสากระโดงทุกเสา กระทั่งความหนักของผ้าใบทุกผืนบนเรือ แน่นอนว่าข้าย่อมมั่นใจถึงได้ทำ” หลังกล่าวจบนางก็หมุนตัวจากไปช่วยคนอื่นๆ ดึงใบเรือกลับมาตำแหน่งเดิม
วิธีที่นางเลือกเป็นวิธีที่ทำให้ความเสียหายลดเหลือน้อยสุดจริงๆ
เขานึกประหลาดใจที่นางคำนวณทุกอย่างอย่างแม่นยำเอาไว้หมดแล้ว รวมถึงความมั่นใจอย่างอธิบายไม่ได้นั้นของนาง ในชั่วพริบตาความคิดที่เซียวจิ้งมีต่อจั้นชิงก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ยามมองไปที่แผ่นหลังของนาง หนนี้เขาถึงได้พลันรู้สึกตัวว่านางไม่เพียงแต่แต่งกายช่วงบนเหมือนกับเด็กหนุ่ม กระทั่งช่วงล่างยังสวมกางเกงเหมือนกับชายฉกรรจ์คนอื่นๆ อีกทั้งยัง…
เท้าเปล่า!
ใบหน้าเขาตกตะลึง จ้องเขม็งไปที่ขากางเกงซึ่งม้วนไปถึงหัวเข่าของนาง มองไปยังน่องขาและเท้าเปล่าสีเปลือกข้าวที่งดงามคู่นั้น
“เจ้าเองก็รู้ เมื่อครู่ที่กลางอากาศหากนางช้าไปเพียงนิดเดียว หรือคำนวณความสูงผิด พลาดเสากระโดงอันนั้นไป นางก็จะถูกสะบัดไปกลางอากาศ ตกลงไปบนฝั่งร่างแหลกกระจุย”
เสียงที่ดังขึ้นข้างกายอย่างกะทันหันทำให้เซียวจิ้งสะดุ้งตกใจไปวูบหนึ่ง เขาหันกลับไปมองผู้อาวุโสที่ไม่รู้มายืนอยู่ข้างขวาของตนเองตั้งแต่เมื่อไร หากสติยังไม่ได้ดึงกลับมาจากขาเล็กๆ คู่นั้นของจั้นชิง จึงเอ่ยถามอย่างงุนงง
“อะไรนะขอรับ”
ผู้อาวุโสคนนั้นเหลือบมองเขาคราหนึ่ง เอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ขาของยายหนูงดงามมากใช่หรือไม่เล่า แต่ส่วนที่นางปิดบังไว้ยิ่งงดงามมากกว่านี้อีกนะ”
หนนี้เขากลับได้ยินชัดเจนแล้ว เซียวจิ้งจ้องเขม็งไปยังผู้อาวุโสตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“ท่านเคยเห็นหรือขอรับ”
“แน่นอน” ผู้อาวุโสยิ้มกว้างจนเห็นฟัน สองมือไขว้กันไว้ที่ด้านหลัง โน้มหน้ามาเอ่ยอย่างโอ้อวด “เคยเห็นมาหมดทั้งตัวแล้ว” เพียงแต่ว่าตอนนั้นยายหนูยังเป็นทารกในห่อผ้า ทว่านั่นไม่มีความจำเป็นจะต้องบอกให้เจ้าเด็กนี่รู้
เขาคิดจะหลอกข้า!
เซียวจิ้งมองผู้อาวุโสไร้ยางอายตรงหน้า พลันเกิดความรู้สึกหุนหันคิดอยากลงมือกับอีกฝ่าย!
คิ้วของเขาขมวดขึ้นมา รู้สึกประหลาดใจกับอารมณ์หุนหันที่หาได้ยากของตน ถึงแม้จะรู้ว่าผู้อาวุโสมีโอกาสกำลังกล่าวล้อเล่นอยู่มาก แต่ในใจเขาก็ยังคงไม่สบอารมณ์ยิ่ง
“หึๆ เจ้าหนู แววตาของเจ้าไม่เลว รักษาไว้ต่อไปเล่า” ผู้อาวุโสเห็นดังนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยนแปลง ยื่นมือออกไปตบบ่าเขาอย่างชื่นชม จากนั้นก็หยิบน้ำเต้าออกมาจากที่ใดไม่ทราบแล้วเปิดจุกออก กลิ่นสุราบริสุทธิ์ลอยมากระทบจมูก เขาดื่มกรอกปากอึกหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เจ้าหนู เอาสักอึกหรือไม่”
พฤติกรรมแปลกประหลาดของผู้อาวุโสท่านนี้ทำให้เขาเหงื่อตก เซียวจิ้งทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ ตอบกลับ
“ไม่เป็นไรขอรับ”
“เมื่อครู่พวกเราคุยกันถึงไหนแล้ว” เห็นเซียวจิ้งไม่ยอมดื่ม ผู้อาวุโสเองก็ไม่ได้บีบบังคับเขา สะกิดปลายเท้าทีหนึ่งก็กลับตัวขึ้นไปอยู่บนลังไม้ด้านหลังแล้ว มองไปที่จั้นชิงกับบรรดาคนเรือที่อยู่ตรงหน้า ปากขยับเอ่ยต่อ “จริงสิ พูดถึงยายหนู นางเป็นเด็กที่เกิดบนเรือ ตอนออกจากท้องแม่ อากาศที่หายใจเข้าไปคำแรกก็คือลมทะเล นางน่ะ เกิดมาเพื่อเป็นคนเรือ”
เซียวจิ้งเหลือบมองผู้อาวุโสที่นั่งบนลังไม้คราหนึ่ง สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีกำลังภายในลึกล้ำ การกลับตัวแบบนี้ กระทั่งเสียงแม้แต่นิดเดียวยังไม่มี แท้จริงแล้วเขาไม่เข้าใจว่าผู้อาวุโสท่านนี้พูดเรื่องเหล่านี้กับเขาทำไม แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางเช่นกัน ถึงอย่างไรเดิมทีเขาก็ตั้งใจขึ้นเรือมาลอบสืบข่าวเกี่ยวกับมังกรสมุทรตระกูลจั้นอยู่แล้ว มีคนเปิดปากบอกเขาด้วยตนเอง เขาย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้ง…เขายังมีความปรารถนาอยากจะรู้เรื่องของนางอย่างน่าประหลาด