ยามนี้เขาถึงเพิ่งได้รู้ว่าที่แท้หอสี่สมุทรเป็นกิจการของมังกรสมุทรตระกูลจั้น ไช่เตาเองก็เป็นคนของสกุลจั้น
เห็นไช่เตากำลังถือมีดหั่นผักทำอาหาร เซียวจิ้งก็ยิ้มอย่างมีความสุขยิ่ง ดูท่าแล้ววันเวลาที่เขาอยู่บนเรือนี้ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะไม่มีอะไรกินอีกแล้ว
เรือสำเภาหนึ่งลำมีสมาชิกทั้งหมดสิบห้าคน เรือลำนี้ของพวกเขามีเขาเกินมาอีกหนึ่ง รวมทั้งหมดสิบหกคน เพราะว่าตลอดทั้งเช้าล้วนทำเพียงลอยไปตามลม ไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงคนพายไปข้างหน้า ดังนั้นจึงมีคนเรือเพียงห้าคนทำงานอยู่บนดาดฟ้าหัวเรือ สองคนกำลังจัดการใบเรือหลัก อีกสองคนจัดการใบเรือรอง และยังมีอีกหนึ่งคนอยู่ท้ายเรือคอยควบคุมหางเสือ คนอื่นๆ นอกจากอีกหนึ่งคนที่คอยช่วยเหลือไช่เตาแล้ว ที่เหลือล้วนไม่ใช่กำลังพักผ่อนอยู่ในเรือก็หยิบเบ็ดตกปลาไปนั่งตกปลาอยู่ตรงกราบเรือ
เรือสำเภาลำนี้ของพวกเขาอยู่ตรงกลางระหว่างเรือสองลำ เซียวจิ้งมองไปยังเรือสำเภาอีกสองลำหน้าหลัง พบว่าสถานการณ์ก็ไม่ต่างกันมากนัก
ลมพัดโชยอ่อนๆ เรือสำเภาบรรทุกสินค้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไม่เร็วนัก เขารู้สึกว่างไม่มีอะไรทำ จึงขอคนบนเรือยืมเบ็ดตกปลามาคันหนึ่ง ทั้งขอให้บรรดาคนเรือช่วยสอนวิชาให้อย่างนอบน้อม และถึงแม้จะผ่านไปสองชั่วยาม โดยแม้แต่หางปลาตัวน้อยยังไม่ได้เห็น หากก็นับได้ว่าผ่อนคลายจนชวนให้ทอดถอนใจ
บรรดาคนเรือสกุลจั้นแม้จะยังมีท่าทีระแวดระวังต่อเซียวจิ้ง แต่ก็ไม่ได้ผลักไสเขา รวมเข้ากับที่เมื่อวานเขาเคยยื่นมือเข้าช่วยเสี่ยวอู่ ทั้งบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ดังนั้นท่าทีที่ทุกคนปฏิบัติต่อเขาจึงนับได้ว่าไม่เลวนัก เพียงแต่ทุกคนต่างพูดกันค่อนข้างน้อยเท่านั้น
ตลอดทั้งเช้าก็ผ่านไปเช่นนี้เอง จนกระทั่งได้เวลากินข้าวเที่ยง จั้นชิงถึงได้พบว่าเซียวจิ้งอยู่บนเรือสำเภาลำนี้ของนาง หัวคิ้วก็อดขมวดขึ้นมาไม่ได้
“ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่”
“กินข้าว” เซียวจิ้งมีท่าทางสบายๆ ถือชามข้าวยิ้มแย้มตอบกลับ ไม่ได้รู้สึกอะไรต่อสีหน้าไม่สบอารมณ์ของนางแม้แต่น้อย
คำพูดนี้ทันทีที่พูดออกไป เหล่าชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านข้างก็พากันหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่เห็นคุณหนูใหญ่มีสีหน้าไม่น่ามอง จึงได้แต่พากันข่มกลั้นไว้ ก้มหน้ายัดข้าวเข้าปากอย่างยากลำบาก
“นั่งสิ อาหารอร่อยนัก กินสักหน่อยเถิด” เขายิ้มแย้มอ่อนโยน เปลี่ยนจากแขกเป็นเจ้าบ้านใช้ตะเกียบชี้ไปยังที่นั่งที่ว่างอยู่ เรียกให้นางนั่งลง
หัวคิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิมด้วยเหตุนี้ กวาดมองไปรอบโต๊ะคราหนึ่งก็ไม่เห็นเงาของฉีซื่อเจิน
“เสี่ยวหวัง อารองเล่า” นางเอ่ยถามคนโชคร้ายที่อยู่ใกล้ตนที่สุด
“เอ่อ…” เสี่ยวหวังเงยหน้ามองคุณหนูใหญ่อย่างลังเล “ท่านรอง…อยู่ที่ท้ายเรือขอรับ”
จั้นชิงไม่พูดอะไรก็จะไปตามหาคน หากเพิ่งจะหันตัวไปก็ได้เห็นฉีซื่อเจินถือสุราไหหนึ่งเดินมา
“ยายหนู มาๆๆ พอดีเลย มาดื่มเป็นเพื่อนอารองสักหน่อย”
“อารอง” นางขมวดคิ้วแน่น ชี้ไปที่เซียวจิ้งอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเอ่ยถาม “เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่”
ฉีซื่อเจินนั่งลงบนพื้นไม้ข้างโต๊ะเตี้ย เอ่ยอย่างใจเย็น
“เจ้าไม่ได้บอกว่าให้เขาอยากอยู่ที่ไหนก็ให้อยู่หรอกหรือ”
“นั่นมัน…” จั้นชิงพูดไม่ออก ได้แต่เขม็งมองเซียวจิ้งกับอารองอย่างไม่พอใจ
นางเคยพูดประโยคนี้ออกมาไม่ผิด แต่เดิมนางคิดว่าคนผู้นี้จะเลือกไปยังเรืออีกสองลำที่เหลือ ในเมื่อถึงอย่างไรนางที่เป็นผู้นำตระกูลก็นั่งคุมด้วยตนเองอยู่ที่นี่ หากเขาอยากสืบหาข่าว ย่อมไม่มีใครกล้าหลุดปากออกไป ถ้าฉลาดเสียหน่อยก็ควรจะกระจ่างดีว่าที่เรืออีกสองลำที่เหลือจึงจะสามารถสืบข่าวได้มากกว่า
ใครจะไปรู้ว่าคนผู้นี้กลับขอขึ้นเรือสำเภาหลักลำนี้มาเสียได้! หากว่าเขาไม่ได้โง่งมจนเกินไป ก็ต้องมีความมั่นใจเกินไป จากที่นางดูแล้วความเป็นไปได้อย่างแรกน่าจะสูงกว่าหน่อย
จั้นชิงลอบสบถด่าอยู่ในใจ จริงๆ เลย นางไม่คิดอยากเห็นหน้าตาลูกน้องที่แสนอ่อนแอคนนี้ตั้งแต่เช้ายันเย็น ดีไม่ดีรอคลื่นลมใหญ่โตกว่านี้อีกหน่อย เขาก็อาจจะอาเจียนเละเทะไปทั่วแล้วก็เป็นได้
“เอาน่ายายหนู นั่งลงกินข้าวได้แล้ว อย่ามัวแต่พิรี้พิไรอยู่” ฉีซื่อเจินหัวเราะพร้อมเปิดผนึกไหสุราออก ต้องการให้จั้นชิงกินข้าวดื่มสุราเป็นเพื่อนเขา
จั้นชิงถลึงตามองเซียวจิ้งอย่างรังเกียจอีกทีหนึ่งแล้วถึงนั่งลงอย่างไม่พอใจ
เซียวจิ้งไม่ได้ถือสา บนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ แต่รอยยิ้มอบอุ่นนั้นในสายตาของจั้นชิงแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดถึงได้ดูขัดตาเป็นพิเศษ
เจ้าบัณฑิตไร้ประโยชน์ผู้นี้ เหอะ!