14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ลำนำรักเจ้าสมุทรชุด หัวใจเจ้าทะเล
บทที่สี่
“เจ้าเลือดออกแล้ว” เซียวจิ้งรอนางอยู่บนเรือ พอออกห่างจากทุกคนแล้วถึงได้เดินตามมาก่อนจะยื่นมือไปขวางนางเอาไว้เงียบๆ
ในตอนที่ทุกคนต่างให้ความสนใจกับบาดแผลของเด็กหญิงตัวน้อยและบรรดาโจรสลัดที่ถูกจับไว้เหล่านั้น มีเพียงเขาที่สังเกตเห็นรอยเลือดจางๆ ที่ด้านข้างลำคอของจั้นชิง ที่แท้เด็กหนุ่มชาวประมงคนเมื่อครู่ก็ทำให้นางได้รับบาดเจ็บจนได้ แต่เพราะบาดแผลนั้นอยู่ข้างลำคอ ถูกผมยาวที่ร่วงหล่นลงมาปิดบังเอาไว้จึงไม่มีใครสังเกตเห็น
“ให้ข้าดูหน่อย” เขาต้องการเชยคางของนางขึ้นเพื่อสังเกตบาดแผล ทว่ากลับถูกนางเอนศีรษะหลบ
“ข้าไม่เป็นอะไร” นางเบี่ยงข้างคิดอยากหลบเขาแล้วเดินต่อ “ท่านมองผิดไปแล้ว”
นางเห็นเขาตาบอดหรืออย่างไร
เซียวจิ้งมองสตรีที่ดื้อรั้นตรงหน้าด้วยสีหน้าขบขัน เพียงขยับเท้าสั้นๆ หนึ่งก้าวก็สามารถขัดขวางนางได้แล้ว แลกมากับการถลึงตามองที่เพิ่มความไม่พอใจมากขึ้นของจั้นชิง
“หลบไป!”
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อแล้วยื่นส่งให้นางพลางเอ่ยอย่างอบอุ่น
“อย่างน้อยก็ห้ามเลือดก่อนเป็นอย่างไร”
ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง! คิ้วของจั้นชิงยิ่งขมวดแน่นกว่าเก่า บนใบหน้ามีความรังเกียจที่ปิดไม่มิด สวรรค์ บุรุษเช่นใดจึงจะพกผ้าเช็ดหน้าติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา ไม่ใช่บรรดาสตรีเสียหน่อย!
มองไปที่ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น แล้วมองไปยังรูปลักษณ์งามสง่าดุจพานอัน ของเซียวจิ้งอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าของจั้นชิงยิ่งดูแปลกประหลาด น่ารังเกียจนัก ใบหน้านั้นของเขายิ่งมองยิ่งดูเหมือนสตรี ใบหน้าขาวๆ เช่นนี้ ดีไม่ดีหากเปลี่ยนไปสวมชุดสตรี แต่งหน้าแต่งตาเข้าหน่อยก็คงเหมือนสตรียิ่งกว่าข้าเสียอีก
เซียวจิ้งไม่อาจรู้ได้ว่าในใจนางกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นนางไม่พูดอะไรก็ทำได้เพียงเปิดปากเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง
“เจ้าเองก็คงไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บหรอกใช่หรือไม่” กล่าวจบเขาก็นำผ้าเช็ดหน้าที่พับทบเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสผืนนั้นกดเบาๆ ลงบนรอยมีดที่ด้านข้างลำคอของนาง
จั้นชิงคิดอยากเบี่ยงหลบก็ไม่ทัน ผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนั้นได้กดแนบลงมาแล้ว หากนางยังหลบอีกก็ดูเป็นการกระทำที่เสียเปล่า อีกทั้งที่เขาพูดก็ไม่ผิด นางไม่อยากให้คนรู้ว่านางได้รับบาดเจ็บเข้าแล้วจริงๆ
เดิมทีที่ถลึงตามองเขา พริบตาต่อมาก็ละสายตาออก นางยกมือขึ้นทำหน้าที่กดผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นต่อ ถอยหลังสั้นๆ ไปหนึ่งก้าว ไม่อยากให้ฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้นทิ้งค้างอยู่ที่ข้างลำคอของนางอีกต่อไป จากนั้นถึงได้เอ่ย ‘ขอบคุณ’ เสียงเบาอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก ก่อนก้าวเดินเร็วๆ อ้อมเขาจากไปทันที
หนนี้เซียวจิ้งไม่ได้ขวางนางเอาไว้อีก เพียงแค่มองไปยังแผ่นหลังของนาง ยืนอยู่ที่เดิมแล้วครุ่นคิดขึ้นมา
หลายวันมานี้แม้เขาจะทำตัวว่างงานอยู่บนเรือ แต่เขาก็สังเกตการณ์ได้เรื่องราวมาไม่น้อย
อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยถามข้อมูลเบื้องลึกของสกุลจั้นขึ้นมาก่อน รวมเข้ากับรอยยิ้มไร้พิษภัยบนใบหน้า นานเข้าๆ คนบนเรือก็ค่อยๆ ปราศจากความระแวงต่อเขา ยามมีเวลาว่างก็จะมีคนพูดคุยเล่นกันอยู่ข้างๆ เขา แม้แต่ในยามตกปลาก็จะมีคนมาพูดด้วยหลายประโยค
เขาไม่เคยเป็นฝ่ายซักถามขึ้นมาก่อน เพียงแค่ในตอนที่คนอื่นมาชวนคุยเขาก็จะมีทักษะในการเบี่ยงหัวข้อสนทนาไปยังเรื่องที่เขาสนใจอยากรู้ หลายวันผ่านไปภายใต้ความอดทนพยายามของเขาก็นับว่าสามารถรวบรวมสถานการณ์ของสกุลจั้นโดยรวมออกมาได้แล้ว แล้วก็เป็นเพราะเหตุนี้จึงได้รู้สึกนับถือสตรีผู้นี้มากยิ่งขึ้น
จั้นเทียน ผู้นำตระกูลคนเก่าของมังกรสมุทรตระกูลจั้นมีบุตรชายกับบุตรสาวอย่างละหนึ่งคน หรือก็คือจั้นชิงยังมีน้องชายอีกคนชื่อจั้นปู้ฉวิน ในตอนที่รุ่นก่อนหน้าจากโลกนี้ไป ไม่ว่าจะพูดอย่างไรผู้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลก็ควรจะเป็นน้องชายของนาง หล่นมาไม่ถึงมือนางแน่ แต่ได้ยินคนบนเรือพูดกันว่าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่จั้นเทียนป่วยหนักอยู่บนเตียง เคยทะเลาะกับบุตรชายใหญ่โตครั้งหนึ่ง วันต่อมาจั้นปู้ฉวินที่ควรเป็นคนรับตำแหน่งผู้นำตระกูลต่อก็จากไปและไม่เคยกลับมาอีก
เนื้อหาของการทะเลาะกันระหว่างสองบิดาบุตรคู่นั้นไม่มีใครรู้ แต่คนบนเรือล้วนเดากันได้คร่าวๆ เห็นได้ชัดว่าเหตุผลหลักคือเมื่อเทียบจั้นชิงกับน้องชายแล้ว นางถึงจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ผู้นั้น ที่น่าเสียดายก็คือนางดันเป็นสตรีผู้หนึ่ง!
ไม่ว่าเหตุผลที่จั้นปู้ฉวินหนีออกจากบ้านไปจะเป็นอะไร การจากไปของเขาล้วนแก้ไขปัญหานี้ จั้นเทียนเหลือเพียงบุตรสาวคนเดียวอยู่ข้างกาย ในตอนที่จะจากโลกนี้ไป ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้แก่บุตรสาวเพียงคนเดียว คนที่ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ หากกลับเป็นสตรีอย่างคุณหนูใหญ่จั้นชิงผู้นั้น!
ถึงแม้บรรดาคนเรือเหล่านั้นจะไม่ได้บอก แต่เซียวจิ้งรู้ว่าการรับช่วงต่อของนางย่อมไม่ได้ราบรื่นเช่นนั้น ในตอนที่เขาได้ยินบรรดาคนเรือพูดคุยกันถึงอภินิหารที่นางแสดงให้เห็นในช่วงหลายปีมานี้ราวกับนับสมบัติของตระกูล อย่างแฝงไปด้วยความเคารพและภาคภูมิใจ เขาก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น อีกทั้งยังมีอารมณ์ประหลาดอย่างหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในใจอย่างไม่มีเหตุผล ราวกับ…ความเห็นอกเห็นใจ
ท่ามกลางพายุฝน นางผูกเชือกกับตัวกระโดดลงทะเลไปช่วยคนอย่างกล้าหาญ ในยามโจรสลัดบุก นางตอบโต้ให้ศัตรูล่าถอยอย่างชาญฉลาดและใจเย็น ในยามคลื่นยักษ์บดบังท้องฟ้าถาโถมเข้ามาก็ยังไม่เกรงไม่กลัว กระทั่งในยามที่น้ำดื่มและอาหารกำลังจะหมด เข็มทิศพังและบนฟ้ามีแต่เมฆครึ้ม ในสถานการณ์ที่คนไร้หนทางจะหาทิศทางเจอ นางล้วนสามารถฝืนร่างกายอันบอบบาง ไม่ยอมแพ้ ควบคุมดูแลเรืออย่างมั่นคง นำพาทุกคนที่พากันละทิ้งความหวังไปหมดแล้วสามารถหาเส้นทางกลับบ้าน กลับไปถึงฝั่งได้