สตรีทุกคนล้วนรักความสวยความงามใช่หรือไม่ แต่เพื่อสกุลจั้น นางกลับยอมทิ้งเครื่องประดับงดงาม ยอมทิ้งการแต่งตัวแต่งหน้า ยอมทิ้งปิ่นทองจี้หยก ยอมทิ้งโอกาสที่สามารถทำให้นางงดงามได้ ดูที่อายุของนางเองก็ควรจะยี่สิบปีแล้ว หากกลับยังไม่เคยมีข่าวเรื่องงานแต่งงาน ดูท่าแล้วก็คงเป็นเพราะเหตุผลนี้
เพราะเหตุใดกัน เดิมทีนางสามารถทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่อยู่บนฝั่งก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดถึงได้ขึ้นเรือมาด้วยตนเอง ทรมานตนเองถึงเพียงนี้ สกุลจั้นไม่มีคนอื่นที่สามารถนำกองเรือได้อีกแล้วหรือไร หรือว่ายังมีเหตุผลอื่นอีก
เซียวจิ้งมองไปยังสองมือที่คล่องแคล่วของนางแล้วคิดอย่างเหม่อลอย มือของนางไม่นุ่มเนียนเหมือนกับคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไปเช่นนั้น บนหลังมือซ้ายยังมีแม้กระทั่งรอยแผลเล็กๆ แต่ถึงแม้สองมือนั้นจะไม่ใช่มือสตรีที่ไร้ตำหนิ ทว่ากลับทำให้เขาคิดอยากยื่นมือออกไปกอบกุม…
แม้จะอยากทำนัก แต่เขาก็ไม่ได้ยื่นมือออกไปจริงๆ แค่นึกประหลาดใจกับตนเองอยู่ในใจว่าเหตุใดถึงมักเกิดความรู้สึกประหลาดกับนางอยู่เสมอๆ เขามักจะอยากเข้าใกล้นาง พูดคุยกับนางโดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นเมื่อเห็นนางได้รับบาดเจ็บก็จะรู้สึกไม่สบอารมณ์ ยามเห็นบาดแผลของนางก็อยากจะสัมผัสลูบไล้บาดแผลนั้นอย่างเสียไม่ได้
หัวคิ้วของเซียวจิ้งขมวดเข้าหากันเล็กน้อย รู้สึกไม่เข้าใจ เขานั่งมองนางอย่างนิ่งเงียบอยู่ที่ด้านข้าง พยายามจะทำให้เรื่องราวกระจ่าง ทว่ายิ่งคิดกลับยิ่งสับสน
“เรียบร้อยแล้ว” จั้นชิงสัมผัสบ่าของเด็กหญิง ให้นางหันมาเผชิญหน้ากับตนเอง “เจ้าสามารถบอกชื่อของเจ้ากับข้าได้หรือไม่”
หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่ ทั้งยังหวีจัดการเรือนผมยาวเรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงตรงหน้าก็ดูบริสุทธิ์งดงามขึ้นไม่น้อย เพียงแค่น่าเสียดายที่ภายในดวงตาดำขลับยังคงทอประกายหวาดระแวง ทั้งนางยังคงไม่ยอมพูดอะไร
ความเงียบของนางทำให้จั้นชิงอดสงสัยไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างที่เซียวจิ้งพูดว่าเดิมทีนางก็พูดไม่ได้แต่แรกแล้ว
ยามมองเด็กหญิงที่จ้องเขม็งมาที่ตนเอง ริมฝีปากเล็กดุจอิงเถา* ไม่มีเจตนาจะอ้าปากเอ่ยเลยสักนิด จั้นชิงก็ทำอะไรกับนางไม่ได้นอกจากเอ่ยขึ้นว่า
“เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าจำเป็นต้องมีชื่อให้ทุกคนเรียก ในเมื่อเจ้าไม่พูด ข้าจะเรียกเจ้าว่าโม่เอ๋อร์เป็นการชั่วคราว ตกลงหรือไม่”
เด็กน้อยไม่มีปฏิกิริยาอะไรในทีแรก ผ่านไปสักพักจึงผงกศีรษะเบาๆ จั้นชิงเห็นดังนั้นก็ยิ้มน้อยๆ
“เช่นนั้นต่อจากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าโม่เอ๋อร์” นางจูงมือโม่เอ๋อร์ “เอาล่ะ โม่เอ๋อร์ ตอนนี้พวกเราไปกินข้าวกันได้แล้ว บนเรือของพวกเรามีท่านลุงไช่เตา อาหารฝีมือเขานับเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าเชียวนะ”
เมื่อได้ยินว่ามีของกิน ดวงตาหม่นหมองของโม่เอ๋อร์ก็เปล่งประกายขึ้นมา ทั้งยังยอมให้จั้นชิงจูงเดินออกไปอย่างว่าง่าย
เซียวจิ้งได้ยินแล้วก็ดึงสติกลับมาเช่นกัน เขาลุกขึ้นยืน เดินตามหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
ไม่รู้ว่านางสังเกตหรือไม่ แต่ทุกครั้งที่นางอยู่กับเด็กหญิงก็จะแสดงด้านที่อ่อนโยนออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำเอาเขารู้สึกอิจฉาเด็กหญิงคนนั้นอยู่บ้าง
เฮ้อ เขายังหวังจริงๆ ว่าจะมีสักวันที่นางจะช่วยเขาหวีผม…แน่นอนว่าไม่ได้ทำทรงผมถักเปียเหมือนดั่งสตรี เขายังไม่มีความชอบประหลาดแบบนั้น!
ทว่านางเองก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเขา เรื่องแบบนี้ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น หากอยากให้นางมาช่วยเขาหวีผม นอกจากแต่งงานกับนาง…
แต่งงานกับนาง?!
หลังตระหนักได้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ เซียวจิ้งก็นิ่งอึ้ง หยุดอยู่กับที่ทันควัน ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่แผ่นหลังของจั้นชิง สีหน้าซีดขาวลงเล็กน้อย
ข้าคิดอยากจะแต่งงานกับนาง? เป็นไปไม่ได้หรอกน่า!
เซียวจิ้งมุมปากกระตุกด้วยใบหน้าซีดขาว หัวเราะแห้งๆ ออกมาโดยไร้เสียง
เป็นไปไม่ได้ ข้าจะคิดอยากแต่งงานกับนางได้อย่างไร ข้าไม่มีทางคิดอยากแต่งงานกับนาง! ข้ารักอิสระ ไม่ชอบการถูกผูกมัด ตลอดมาก็ออกร่อนเร่จนเป็นนิสัยแล้ว จะมีความคิดอยากมีครอบครัวได้อย่างไร
จะต้องเป็นเพราะอยู่บนเรือนานไปแล้วจึงเป็นเช่นนี้แน่ๆ สมองของข้าแค่สับสนไปชั่วขณะ…ใช่ เป็นเพราะบนเรือมีนางเป็นสตรีเพียงคนเดียว ข้าถึงได้มึนงงเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้นมา!
เพราะเหตุนี้ เป็นเพราะเหตุนี้แน่ๆ เป็นเพราะเหตุนี้อย่างแน่นอน จะต้องเป็นเพราะเหตุนี้!
หลังขจัดความคิดอันตรายที่ผุดขึ้นมาในสมองทิ้งไป เซียวจิ้งก็พยายามฝืนยิ้มออกมา ต่อให้ตายก็ไม่ยอมสืบค้นลงลึกอีกต่อไป ตัดสินใจเชื่อว่าความคิดของตนเองนั้นไม่ผิด นี่ก็แค่เป็นเพราะอยู่บนเรือมานานเกินไปเท่านั้น ขอเพียงได้ลงจากเรือ เขาก็จะไม่มีความคิดเช่นนี้อยู่อีก!
ขอเพียงได้ลงจากเรือเท่านั้น…