บทที่ห้า
ในวันที่บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆหนาทึบ เรือขนส่งสกุลจั้นก็มาถึงอำเภอเมืองข้างๆ แล้วจอดทิ้งไว้ริมฝั่งแม่น้ำ
คนเรือหลายคนพากันคุมตัวเหล่าโจรสลัดมุ่งตรงไปยังจวนว่าการประจำเมือง จั้นชิงเปลี่ยนเป็นสวมอาภรณ์สตรีเดินจูงมือโม่เอ๋อร์อยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น
ส่วนเซียวจิ้งเป็นเพราะมีปมอยู่ในใจจึงอยากรีบลงจากเรือจนแทบทนไม่ไหว ต่อให้ทำได้เพียงเดินเล่นในเมืองก็ยังดี ในใจเขากำลังคิดว่าขอเพียงได้ขึ้นฝั่ง ได้เห็นสตรีคนอื่นๆ ความคิดอันตรายอันแปลกประหลาดนั้นก็ควรจะหายไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงติดตามทุกคนเข้าเมืองไปด้วยกัน
เมื่อมาถึงจวนว่าการ นักโทษก็ถูกจับเข้าห้องขัง แต่เด็กน้อยโม่เอ๋อร์คนนี้กลับกอดจั้นชิงแน่นไม่ยอมปล่อย ไม่ว่าทุกคนจะหว่านล้อมอย่างไร นางก็ไม่ยอมปล่อยมือ
“จะทำอย่างไร” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นไม่สะดวกฝืนดึงตัวเด็กหญิงออกมา ได้แต่มือเท้าเก้ๆ กังๆ
จั้นชิงตบบ่าโม่เอ๋อร์เบาๆ ก้มหน้าเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“โม่เอ๋อร์ เจ้าไม่อยากกลับบ้านหรือ ท่านลุงเหล่านี้สามารถพาเจ้ากลับบ้านได้นะ”
โม่เอ๋อร์ได้ยินแล้วเอาแต่กอดนางแน่น จากนั้นจึงส่ายศีรษะอย่างรุนแรง ไม่ปล่อยก็คือไม่ปล่อย
“คุณหนูจั้น ข้าคิดว่า…จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าครอบครัวของเด็กน้อยคนนี้ล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้ว จึงไม่มีบ้านให้กลับ ท่านเองก็รู้ว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ที่นี่ปรากฏคนจรจัดจำนวนไม่น้อย เป็นไปได้ว่านางอาจจะพลัดหลงกับบิดามารดากลางทาง หรือว่าพวกเขาล้วนเสียชีวิตกันหมดแล้ว นางถึงได้ถูกโจรสลัดพวกนั้นจับตัวไป คิดอยากนำไปขายแลกเงิน” เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งเห็นเด็กหญิงคนนั้นไม่ยอมพูดจาเอาแต่ส่ายศีรษะ ก็อดพูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาไม่ได้
เมื่อเห็นท่าทางเด็กคนนี้เอาแต่กอดคุณหนูใหญ่แน่นราวกับกลัวถูกทอดทิ้งอย่างไรอย่างนั้น เสี่ยวโจวก็อดเอ่ยแทรกขึ้นมาไม่ได้
“คุณหนูใหญ่ ที่เจ้าหน้าที่พูดมาก็มีความเป็นไปได้นะขอรับ บางทีเด็กคนนี้อาจไม่มีบ้านให้กลับไปแล้ว ข้าคิดว่าไม่สู้พวกเราก็พานางไปด้วยเสียเลย คิดเสียว่าเป็นสาวใช้ที่ท่านรับมาใหม่ จะได้ช่วยเหลือธุระบางเรื่องให้ท่านได้ด้วยขอรับ”
อย่างนั้นหรือ คิ้วคู่งามของจั้นชิงขมวดเข้าหากันน้อยๆ หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นเหตุใดพวกโจรสลัดถึงต้องขังโม่เอ๋อร์เอาไว้ในกรง ทั้งยังล่ามโซ่ไว้กับแขนขานางด้วย
จั้นชิงไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้น
“ข้าคิดว่าโม่เอ๋อร์อาจจะเป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่โตสักตระกูลหนึ่ง ถึงได้ถูกโจรสลัดเหล่านั้นลักพาตัว คิดอยากจะเรียกค่าไถ่ หากเป็นเช่นนี้ การที่พวกเราพาตัวนางไปจะไม่กลายเป็นการอวดฉลาดจนเสียเรื่องพอดีหรอกหรือ”
“เรื่องนี้…” ทุกคนมองโม่เอ๋อร์ที่กอดจั้นชิงแน่นไม่ยอมปล่อย ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี
พลันเซียวจิ้งที่นิ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้น
“สมมติว่าทิ้งโม่เอ๋อร์เอาไว้ที่นี่ แต่นางไม่ยอมพูด เหล่าเจ้าหน้าที่จะสามารถหาตัวบิดามารดานางพบหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่สุดจะรู้ ต่อให้หาพบก็ต้องอาศัยเวลาหลายเดือน นำนางที่เป็นเด็กหญิงคนหนึ่งมาทิ้งเอาไว้ในสถานที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ นางจะต้องรู้สึกกลัวเป็นแน่” เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนมองไปที่จั้นชิงแล้วยิ้มเอ่ยแนะนำขึ้นมา “อย่างนั้นเอาเช่นนี้ก็แล้วกัน หากคุณหนูจั้นมิสะดวก ถึงอย่างไรการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราก็ไปยังเมืองฉางอัน ที่เมืองฉางอันข้ามีสหายที่กำลังต้องการสาวใช้อยู่ผู้หนึ่ง พวกเราพาโม่เอ๋อร์ไปถึงเมืองฉางอันแล้วให้นางพักอยู่ที่นั่นก่อน ส่วนที่นี่นั้นก็ให้เจ้าหน้าที่ทำการค้นหาต่อ หากว่าได้เรื่องอะไรขึ้นมาก็ค่อยให้คนส่งข่าวไปถึงเมืองฉางอันก็พอแล้ว”
“ข้าไม่ได้พูดว่าไม่สะดวก” สัมผัสได้ถึงมือเล็กๆ ที่กอดตนเองแน่นอยู่ออกแรงมากขึ้น จั้นชิงก็ถลึงตาใส่เซียวจิ้งไปทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชา “โม่เอ๋อร์อยู่กับข้าก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากคุณชายเซียว”
“เป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด” ราวกับรู้อยู่แต่แรกแล้วว่านางจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เขาจึงตอบรับได้อย่างรวดเร็ว
น่ารังเกียจ เจ้าคนที่คิดเองเออเองผู้นี้ เพิ่งจะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาไม่ทันไร คนผู้นี้ก็แสดงวาจาแบบนั้นอีกแล้ว ทั้งยังจงใจเปลี่ยนความนัยในคำพูดของนาง ทำจนเหมือนนางเป็นสตรีร้ายกาจอย่างไรอย่างนั้น
จั้นชิงสบถด่าในใจไปทีหนึ่ง ถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธแล้วจึงหันตัวหนีไปไม่ยุ่งกับเขาอีก หันมาเอ่ยกำชับกับเสี่ยวโจว
“เจ้าอยู่ที่นี่คอยจัดการขั้นตอนที่เหลือกับเจ้าหน้าที่ด้วย ข้าจะพาโม่เอ๋อร์ไปซื้อชุดที่พอดีตัวก่อน”
เสี่ยวโจวผงกศีรษะรับคำ จากนั้นจึงเรียกลูกน้องสองคน
“เสี่ยวหลี่ เสี่ยวอู่ พวกเจ้าสองคนตามคุณหนูไป”
“ไม่ต้องหรอก” จั้นชิงห้ามเขา เอ่ยกับบรรดาลูกน้อง “ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่ต้องให้คนคอยตามตลอดเวลา นานๆ ทีทุกคนจะได้ลงจากเรือ ให้พักกันครึ่งวัน เดินเล่นขยับแข้งขยับขา จำไว้ว่าให้มารวมตัวที่เรือในยามอู่ ก็พอแล้ว”