14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ลำนำรักเจ้าสมุทรชุด หัวใจเจ้าทะเล
จั้นชิงบอกขนาดรองเท้าที่นางต้องการ ทั้งยังเอ่ยว่า
“รองเท้าผ้าสีดำธรรมดาก็พอแล้ว”
“ขอรับ ข้าจะไปเอามาเดี๋ยวนี้ กรุณารอสักครู่” เถ้าแก่พูดจบก็เดินไปหาสินค้าภายในตู้
เพียงไม่นานเถ้าแก่ร้านก็นำรองเท้าปักที่โม่เอ๋อร์ใส่ได้ออกมาส่งให้กับจั้นชิงก่อน จากนั้นจึงห่อรองเท้าบุรุษอีกคู่ให้
“เจ้าซื้อรองเท้าให้ผู้ใดกัน” เซียวจิ้งเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
จั้นชิงคุกเข่าลงช่วยโม่เอ๋อร์เปลี่ยนไปสวมรองเท้าปักก่อนเอ่ยตอบ
“เสี่ยวโจวอย่างไรเล่า รองเท้าของเขาใกล้จะทะลุอยู่แล้ว”
เซียวจิ้งได้ยินแล้วก็รู้สึกอึดอัดใจ อดถามขึ้นมาอีกไม่ได้
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาสวมรองเท้าขนาดเท่าไร”
เห็นโม่เอ๋อร์สวมได้พอดี นางจึงลุกขึ้นยืนจ่ายเงิน พร้อมตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง
“ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว รองเท้าของเขา ข้าเป็นคนซื้อให้มาโดยตลอด”
‘รองเท้าของเขา ข้าเป็นคนซื้อให้มาโดยตลอด’
กลับมาถึงเรือ เซียวจิ้งจ้องเขม็งไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มขณะรับรองเท้าคู่ใหม่ของเสี่ยวโจวอย่างไม่สบอารมณ์อยู่เต็มอก ในใจก็ปรากฏคำพูดประโยคนั้นที่นางพูดในร้านอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นมาอีกครั้ง ความจริงแล้วตั้งแต่เพิ่งออกจากร้านค้าจนกระทั่งกลับมาถึงบนเรือ ในสมองของเขาฝั่งหนึ่งก็ประโยค ‘รองเท้าของเขา ข้าเป็นคนซื้อให้มาโดยตลอด’ อีกฝั่งหนึ่งก็ประโยค ‘รองเท้าของเขา ข้าเป็นคนซื้อให้มาโดยตลอด’ เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำไปมา ทำเอาในใจเขาขมฝาดแทบเป็นแทบตาย
นางเป็นถึงคุณหนูใหญ่ เพราะเหตุใดจึงช่วยลูกน้องซื้อรองเท้า อีกทั้งฟังน้ำเสียงดั่งเป็นเรื่องสมเหตุสมผลเช่นนั้นของนางแล้ว ราวกับว่าที่นางช่วยเสี่ยวโจวซื้อรองเท้าเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดายิ่ง หรือจะบอกว่าในใจนางสหายโจวผู้นี้กลับไม่ได้เป็นแค่องครักษ์ประจำตัวธรรมดา แต่ยังมีฐานะพิเศษอยู่อีกด้วย
คิดมาถึงตรงนี้เซียวจิ้งก็ยิ่งอัดอั้นตันใจ ในหัวใจราวกับมีหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้ แกว่งไกวอยู่ในอก
ทันใดนั้นในสมองของเขาก็มีเป้าหมายที่คิดเอาไว้เมื่อเช้าวันนี้แวบเข้ามา…
เกี่ยวกับเรื่องขึ้นฝั่ง เกี่ยวกับสตรีคนอื่น…เมื่อครู่ทั้งๆ ที่เดินสวนกับสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนบนถนนหลัก แต่ในยามนี้เขากลับคิดถึงใบหน้าของสตรีภายในเมืองไม่ออกสักคนเดียว แม้กระทั่งความประทับใจเลือนรางยังไม่มี
จวบจนตอนนี้เขาถึงเพิ่งรู้ตัว ตั้งแต่ลงเรือ ขึ้นฝั่ง เข้าเมือง เข้าจวนว่าการ จนถึงกระทั่งเดินออกมา ถึงร้านขายผ้า ถึงตรอกแคบๆ ออกถนนหลัก จนกลับมาถึงบนเรือ สายตาของเขากลับไม่เคยละออกจากนางเลย
เขาพยายามอย่างยิ่งในการย้อนนึกกลับไป แต่ที่ผุดขึ้นมาทั้งหมดกลับเป็นท่าทางการเดินของนาง สีหน้ายามพูดของนาง โทสะของนาง ความกระอักกระอ่วนของนาง ยิ่งพยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจคิดอย่างไร กลับยังคงจดจำได้เพียงเงาร่างสะโอดสะอง หน้าแดงเคอะเขินอย่างกรุ่นโกรธ หัวคิ้วปลายหางตา ริมฝีปากและฟันขาวของนาง กระทั่งที่ปลายจมูกยังรู้สึกเหมือนได้กลิ่นจางๆ ของท้องทะเลเช่นนั้นจากร่างของนาง…
แน่นอน เขายิ่งจดจำได้ว่าในตอนที่ล้ม ร่างของนางกดทับอยู่บนตัวเขา…แม้ไม่เหมือนดั่งสตรีทั่วไปที่อ่อนนุ่มราวไร้กระดูก ร่างกายของนางอาจแน่นหนาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แข็งกล้าเหมือนดั่งบุรุษเช่นนั้น ถึงแม้ยามนั้นที่หลังจะปวดแทบเป็นแทบตาย ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้า ทว่าเขากลับมีปฏิกิริยากับนางขึ้นมาแทบจะในทันที แล้วก็เป็นเพราะเหตุนี้เมื่อนางลุกขึ้นมาแล้วเหยียบโดน เขาถึงได้เจ็บปวดถึงขั้นนั้น
คิดไปถึงความเจ็บปวดครั้งนั้น เซียวจิ้งก็ห่อตัวลงเล็กน้อย แล้วก็คิดถึงสองฝ่ามือที่ได้รับตามมาติดๆ เขาพลันยกมือขึ้นมาลูบแก้มตัวเอง ที่คิดในหัวกลับไม่ใช่ความเจ็บปวดของแก้ม แต่เป็นที่ที่สองมือสัมผัสโดนโดยไม่ตั้งใจ
มุมปากเขายกยิ้มร้ายกาจ พูดกันตามตรง สองฝ่ามือนั้นเรียกได้ว่าคุ้มค่านัก!
แต่รอยยิ้มนี้ก็ต้องแข็งค้างอยู่บนใบหน้าทันควัน เป็นเพราะเขาตกใจที่พบว่าตนเองนับตั้งแต่ลงเรือจนกระทั่งกลับขึ้นมา ไม่เพียงแต่ไม่เคยละสายตาจากนาง กระทั่งความคิดยังล้วนอยู่ที่นางทั้งหมด!
ความรู้สึกเช่นนี้นับว่าพิลึกเกินธรรมดาไปแล้วจริงๆ เขาไม่เคยให้ความสนใจสตรีสักคนถึงเพียงนี้มาก่อน ให้ความสนใจในร่างกายทุกสัดส่วน ผิวหนังตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าล้วนรับรู้การมีอยู่ของนาง ราวกับโดนครอบงำจิตใจอย่างไรอย่างนั้นไม่อาจควบคุมได้เลย ทั้งยังคงไม่กระจ่างว่าเหตุใดตนเองจึงเป็นเช่นนี้ ถึงขั้นไม่เข้าใจว่าตนเองเริ่มให้ความสนใจกับนางถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
หลายวันก่อนยามขึ้นเรือที่เมืองหยางโจว เขายังเป็นปกติดีอยู่ชัดๆ เลยไม่ใช่หรือ
เซียวจิ้งยืนเหม่อลอยอยู่ที่หัวเรือ ในสมองสับสนวุ่นวาย เขาพยายามคิดหาเหตุผล เวลา สถานที่ที่ตัวเองโดนครอบงำจิตใจ แต่เพียงแค่คิดกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ ในหัวก็เต็มไปด้วยภาพของนาง จนกระทั่งในตอนกินข้าวเที่ยง เขาก็ยังหาไม่เจอแม้กระทั่งต้นเหตุ
มาถึงยามอู่ ทุกคนล้อมวงกันกินข้าว เซียวจิ้งกลับไม่ได้ให้ความสนใจอาหารเลิศรสของไช่เตาอย่างหาได้ยาก กินไม่รู้รส เอาแต่นิ่งเงียบเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เป็นเช่นนี้ตลอดจนเขากินข้าวเสร็จ ออกจากโต๊ะอาหาร ทุกคนก็เห็นเพียงเขาหยิบเบ็ดตกปลาไปนั่งอยู่ตรงที่ประจำของเขา กระทั่งเหยื่อยังไม่ทันใส่ก็โยนเบ็ดลงแม่น้ำไปอย่างโง่งม จากนั้นก็นั่งเหม่อ นั่งไปตลอดช่วงบ่ายทั้งอย่างนั้น
ทุกคนมองข้ามพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขาเหมือนไม่เห็น หลังกินข้าวเสร็จก็เก็บกวาดทุกอย่าง จากนั้นก็ออกเดินทาง มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเมืองลั่วหยางและเมืองฉางอันต่อไป