14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ลำนำรักเจ้าสมุทรชุด หัวใจเจ้าทะเล
บทที่หก
“คลองสายนี้มีชื่อว่าคลองทงจี้ หรือที่คนเรียกกันว่าแม่น้ำอวี้เหอ กว้างประมาณสี่สิบก้าว เจ้าดูที่ริมฝั่งยังมีทางเดิน เอาไว้เพื่อในยามที่จักรพรรดิเสด็จ หากไม่มีลมช่วยก็ให้คนขี่ม้าดึงเรือไปข้างหน้า ยามนั้นเจ้าขุนนางสุนัขที่ควบคุมงานพูดว่าเพื่อทิวทัศน์อันงดงามอะไรสักอย่าง ยังต้องการให้พวกเราปลูกต้นหลิวไว้ตลอดริมสองฝั่ง ยามนี้ดูไปแล้วก็นับได้ว่าไม่เลวจริงๆ แต่ว่าตอนนั้นที่ปู่ขุดดินขนหิน กลับรู้สึกเกลียดบรรดาต้นหลิวทุกต้นเข้ากระดูก” ฉีซื่อเจินดื่มสุราอึกหนึ่ง เอ่ยกลั้วหัวเราะเล่าให้โม่เอ๋อร์ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวหนหลังอยู่ที่หัวเรือ โม่เอ๋อร์นั่งฟังอยู่เงียบๆ ดวงตาดำขลับคู่โตแสดงให้เห็นว่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
ภายในเรือ จั้นชิงยังคงกำลังจดบันทึกถึงสิ่งที่ได้พบเห็นตลอดเส้นการเดินทางในหลายวันมานี้ มีบางทีก็จะเงยหน้ามองผ่านหน้าต่าง มองดูหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ที่หัวเรือ หลายวันมานี้เป็นเพราะท่าทีเป็นมิตรของทุกคนบนเรือ ทำให้ความหวาดระแวงที่โม่เอ๋อร์มีต่อคนอื่นค่อยๆ หายไป ไม่เอาแต่ตัวติดกับนางอีกต่อไป ทั้งยังชอบอยู่กับอารองเป็นอย่างยิ่ง ฟังเขาเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวมหัศจรรย์ทั่วทั้งแว่นแคว้นดินแดนอันกว้างใหญ่
เพียงแต่ว่าโม่เอ๋อร์ก็ยังคงไม่เคยพูดแม้แต่ประโยคเดียว เกี่ยวกับเรื่องนี้จั้นชิงเองก็ไม่สืบค้นต่อ ใจคิดว่าหากโม่เอ๋อร์พูดได้ก็คงมีสักวันที่จะพูดเอง หากพูดไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไร ถึงอย่างไรตัวนางก็เป็นคนพูดไม่เยอะอยู่แล้ว
ทว่าเกี่ยวกับเรื่องรับโม่เอ๋อร์เป็นสาวใช้ จั้นชิงเคยคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน พิจารณาถึงว่าโม่เอ๋อร์อาจไม่สามารถปรับตัวกับชีวิตบนเรือ หรือหากบรรดาเจ้าหน้าที่เหล่านั้นยังกำลังค้นหาที่อยู่ของบิดามารดานาง ก็ไม่อาจพานางร่อนเร่ไปทั่วได้ ดังนั้นหลังจากปรึกษากับฉีซื่อเจินแล้ว จึงตัดสินใจว่าหลังการเดินทางครั้งนี้จบลง จะพาโม่เอ๋อร์กลับไปอยู่บนเกาะก่อน รอจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ที่นั่นมีข่าวคราวส่งมา จึงค่อยพาโม่เอ๋อร์กลับไปส่งให้กับครอบครัว
หลังเขียนบันทึกเรื่องสุดท้ายเสร็จ จั้นชิงก็วางพู่กันแล้วอ่านตรวจทานทั้งหมดอีกรอบหนึ่ง ดูว่าไม่ได้ตกหล่นตรงไหนไป เมื่อนางมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่ควรจดล้วนจดเอาไว้หมดแล้ว จึงนำอุปกรณ์เครื่องเขียนเก็บลงไป
นางเพิ่งจะเก็บอุปกรณ์เสร็จ เสี่ยวหลี่ก็เดินเข้ามารายงาน
“คุณหนูใหญ่ เมืองลั่วหยางอยู่ข้างหน้านี้แล้วขอรับ”
“อืม ข้ารู้แล้ว” นางหยิบรายการสินค้าขึ้นมาก่อนเอ่ยกำชับ “เจ้ากับเสี่ยวหวังนำสินค้าในรายการเหล่านี้ย้ายมาจัดเรียงบนดาดฟ้าหัวเรือก่อน พวกเราเตรียมตัวจอดเทียบริมฝั่ง”
“ขอรับ” เสี่ยวหลี่ผงกศีรษะ รับรายการสินค้ามาแล้วหมุนตัวเดินไปยังใต้ท้องเรือเพื่อขนสินค้าออกมา
เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงยังเมืองลั่วหยาง หลังนำเรือสำเภาเข้าจอดเทียบท่าอย่างมั่นคงแล้วก็เริ่มทำงานขนย้ายสินค้าลงเรือ สินค้าครั้งนี้มีหนึ่งในสามส่วนที่ต้องขนลงที่เมืองลั่วหยาง ส่วนที่เหลือเป็นส่วนที่จะส่งไปยังเมืองฉางอัน
ลั่วหยางเมืองหลวงแห่งตะวันออกคือเมืองใหญ่ของทางเหนือ ที่ท่าเรือมีเรือสำเภาจำนวนหลายลำจอดเทียบท่าอยู่ มีทั้งที่กำลังรีบขนสินค้าลง ยกสินค้าขึ้นเรือ ทุกๆ แห่งหนล้วนเต็มไปด้วยผู้คน คนเรือกับพ่อค้าล้วนกำลังวิ่งกันวุ่นวายอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น มองดูแล้วเต็มไปด้วยพลังชีวิต เหมือนดั่งการค้าเองก็คึกคักเช่นนี้
“สถานที่คึกคัก” ฉีซื่อเจินเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“จริงด้วยขอรับ” เซียวจิ้งยืนอยู่ข้างๆ เขา มองไปจากบนเรือ ทุกที่บนแม่น้ำล้วนคือเสากระโดงและใบเรือ
“พวกเราจะหยุดพักอยู่ที่นี่กันหนึ่งวัน ข้าจะพาโม่เอ๋อร์ไปเดินตลาด เจ้าเองก็อยากจะลงไปเดินเล่นด้วยกันหรือไม่” ปลายจมูกที่แดงด้วยฤทธิ์สุราของฉีซื่อเจินสะท้อนแสง มือจูงโม่เอ๋อร์ยิ้มแย้มเอ่ย
“ก็ดีเหมือนกัน…” ขณะที่พูด สายตาของเซียวจิ้งก็มองไปที่อื่นโดยไม่รู้ตัว หากกลับหาคนที่เขาคิดอยากหาไม่พบ “คุณหนูจั้นเล่าขอรับ เหตุใดถึงไม่เห็นนาง”
“ยายหนูหรือ เมื่อครู่นางเพิ่งลงเรือเข้าเมืองไปจัดการธุระก่อนแล้ว” ฉีซื่อเจินจูงมือโม่เอ๋อร์เดินลงเรือพร้อมเอ่ย
เซียวจิ้งเดินตามมาข้างหลังก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“จัดการธุระ?”
“ใช่แล้ว พวกเราส่งคนมาก่อตั้งกิจการขนส่งสินค้าที่นี่ก่อนหน้านี้มานานแล้ว นางเลยไปดูสถานการณ์” เขาพูดไปพร้อมกับจูงโม่เอ๋อร์เดินผ่านลังปลาหลายลัง อ้อมผ่านสินค้าหลายหีบและกระสอบจำนวนมาก ในตอนที่เดินผ่านลังปลาลังหนึ่ง ปลาเงินตัวหนึ่งยังกระโดดขึ้นมา ทำเอาโม่เอ๋อร์สะดุ้งตกใจ
“นางไปคนเดียวหรือขอรับ” เซียวจิ้งขมวดคิ้วด้วยความกังวล ลั่วหยางไม่ใช่เมืองเล็กๆ ผู้คนโกลาหลวุ่นวายกว่าในเมืองที่บ้านนอกเหล่านั้นมากมายนัก ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นคนจรจัดแบบไหนล้วนมี นางเป็นสตรีผู้หนึ่ง ถึงแม้จะเป็นวรยุทธ์ แต่ภูเขาหนึ่งลูกยังมีอีกลูกที่สูงกว่า* ถึงอย่างไรก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้ง่ายๆ
“แน่นอนว่าไม่ ยังมีเสี่ยวโจวตามไปด้วย”
เซียวจิ้งได้ยินแล้วจิตใจกลับไม่ได้ผ่อนคลายลงด้วยเหตุนี้ กลับกันในหัวใจยังเหมือนมีเนื้อร้ายงอกขึ้นมากะทันหัน ทำเอาเขายิ่งรู้สึกว้าวุ่น เขากระแอมในลำคออย่างไม่สบายใจก่อนจะเอ่ยถาม
“ท่านรองขอรับ กิจการขนส่งสินค้าของพวกท่านอยู่ตรงไหนของเมืองหรือ”
ฉีซื่อเจินหยุดเดินแล้วหันมามองเขาทีหนึ่ง ยิ้มเจ้าเล่ห์
“เจ้าถามไปทำไม”
“เอ่อ…” เขาชะงักไปเล็กน้อย ผ่านไปสักพักจึงฝืนยิ้มเอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไรขอรับ เพียงแค่ประหลาดใจ คิดอยากไปดูเสียหน่อย”
ฉีซื่อเจินจงใจหัวเราะคิกคักขึ้นมาถึงค่อยเอ่ยตอบ
“อยู่ที่ถนนใหญ่ทางทิศตะวันออกของเมือง ตรงหน้าประตูมีธง ‘สำนักเดินเรือสี่สมุทร’ แขวนเอาไว้อยู่ ร้านนั้นแหละ”
“ขอบคุณขอรับท่านรอง” หลังเซียวจิ้งประสานมือคารวะอย่างกระอักกระอ่วนแล้ว ถึงได้รีบร้อนหมุนตัวไปยังทิศตะวันออกของเมือง