ในใจจั้นชิงมีอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ถาโถม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนที่รู้ว่าเซียวจิ้งจึงจะเป็นผู้ที่มีอำนาจตัวจริงของสกุลเซียว กลับไม่ได้ทำให้นางตกตะลึงสักเท่าไรนัก ซ้ำยังมีความรู้สึกแปลกประหลาด ไม่สบายใจเท่าที่ควรขึ้นมาแทน
นางไม่ชอบใจที่ได้รู้ข่าวนี้ ไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก
“คุณหนูใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ”
“อะไรนะ” นางดึงสติกลับมา เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเสี่ยวโจวก็รีบเอ่ย “ข้าไม่เป็นอะไร แค่กำลังคิดบางอย่างอยู่ จริงสิ แล้วผู้นำสกุลเซียวมาอยู่ที่ร้านค้าของพวกเราได้อย่างไร”
“ท่านอาเจิ้งบอกว่าเขามาทำการค้ากับสกุลหวังแห่งเมืองลั่วหยาง บังเอิญท่านอาเจิ้งเองก็ไปเยี่ยมเถ้าแก่หวังพอดี เลยได้ทำความรู้จักกับเขา วันนี้สกุลเซียวถึงได้มาใช้บริการขนส่งสินค้าของเราขอรับ”
จั้นชิงได้ยินแล้วก็ถามต่อ “ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน”
“สกุลเซียวเองก็มีเรือนตากอากาศที่เมืองลั่วหยาง น่าจะกำลังพำนักอยู่ที่นั่นขอรับ”
“งั้นหรือ” นางมองออกไปยังนอกหน้าต่าง สีหน้ายากจะคาดเดา หากเป็นเช่นนี้ เซียวจิ้งก็ไม่น่าจะออกเดินทางไปยังเมืองฉางอันร่วมกันกับพวกนางแล้วกระมัง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในอกจั้นชิงพลันมีความรู้สึกประหลาดขึ้นมา คล้ายกับว่า…ผิดหวัง
ผิดหวัง?! นางขมวดคิ้ว พิลึกนัก เหตุใดถึงมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้ การที่คนผู้นั้นจะไม่ติดตามมาอีกแล้ว ข้าควรดีใจจึงจะถูก เหตุใดถึง…
“คุณหนูใหญ่ พวกเราจะยังออกเรือพรุ่งนี้อีกหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวโจวเปิดปากซักถามขัดความคิดของนาง
“แน่นอน ทำไมจะไม่เล่า” นางเหลือบมองเขาทีหนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “พวกเรามีความจำเป็นที่จะไม่ออกเดินทางหรือ”
“เอ่อ…” นางถามมาเช่นนี้ทำเอาเสี่ยวโจวชะงัก คำพูดที่อยู่ที่ปากถูกกลืนกลับลงท้อง ยิ้มขื่นพึมพำเอ่ย “ไม่มีขอรับ”
เสียงลมพัดอู้ ใบไม้ส่ายไหว ภายในเรือนตากอากาศสกุลเซียวที่ลั่วหยาง สองพี่น้องซึ่งไม่ได้พบกันมานานต่างพากันพลิกตัวกระสับกระส่าย ไม่อาจข่มตาหลับได้ลง
เมื่อเนิ่นนานก็ไม่อาจหลับ เซียวเหวยจึงตัดสินใจลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมทับแล้วเดินออกไปกลางลาน
ยามดึกหนาวเย็นดุจสายน้ำ ดวงจันทราแขวนกลางนภา
ดวงดาราที่ทอประกายระยับท่ามกลางผืนฟ้าสีดำมองดูราวกับนัยน์ตาบริสุทธิ์ของอาจิ้ง…
เซียวเหวยเงยหน้ามองฟ้าพลางทอดถอนใจ ตั้งแต่เด็ก อาจิ้งก็เป็นเด็กฉลาดเกินคน หนึ่งขวบพูดได้ สองขวบคำนวณได้ สามขวบก็สามารถท่องบทกวี ตอนสี่ห้าขวบยิ่งมีวาทศิลป์ที่ดีเยี่ยม
น้องชายคนนี้ของเขาแสดงพรสวรรค์ออกมาตั้งแต่เด็ก คนมีตาล้วนรับรู้ เขาด้อยกว่าอาจิ้งมากนัก เขาเคยอิจฉาและริษยามาก่อน แต่ความอิจฉาริษยาไม่ได้ช่วยอะไร มิหนำซ้ำทุกครั้งที่เขาได้เห็นนัยน์ตาใสกระจ่างบริสุทธิ์กับใบหน้าฉลาดเฉลียวเกินวัยของอาจิ้ง ก็ยอมแพ้ให้ตั้งแต่ยังไม่สู้แล้ว
ในยามที่บิดาจากไป ตอนที่เขารับตำแหน่งผู้นำสกุลเซียวต่อเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ตลอดไป เขาเพียงแค่กำลังรอ รออาจิ้งโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะว่าต่อให้เขาเป็นบุตรคนโต แต่กลับไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านการค้าเทียบเท่าน้องชาย ตำแหน่งผู้นำสกุลเซียวควรเป็นของอาจิ้ง น้องชายเขาถึงจะเป็นผู้นำที่สามารถนำพาสกุลเซียวได้จริงๆ
คิดไม่ถึงว่าอาจิ้งกลับคล้ายรู้ทันความคิดของเขา นับตั้งแต่อายุสิบห้าปีก็อาศัยข้ออ้างไม่สบายแล้วไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการค้าอีก ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร อาจิ้งก็ไม่ยอมเหยียบเข้ามาในโลกของการค้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว
เขารู้ว่าอาจิ้งกลัวว่าจะสร้างผลกระทบต่อเขาด้านอำนาจและตำแหน่งในใจของลูกน้อง แต่อาจิ้งกลับไม่เข้าใจ เขาไม่ถือสาให้น้องชายเป็นผู้นำ เขาเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตนเองกับอาจิ้งดี ทั้งยังกระจ่างยิ่งว่ามีหลายเรื่องที่เขาทำไม่ได้ แต่อาจิ้งกลับทำได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นหลังคิดได้แล้ว เขาจึงยอมถอยอย่างเต็มใจ
แต่เห็นได้ชัดว่าอาจิ้งไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ พยายามไม่มีส่วนร่วมกับโลกภายนอกอย่างถึงที่สุด ทั้งวันเอาแต่ ‘พักรักษาตัว’ อยู่ในเรือนของตัวเอง ส่วนเขาเองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นกัน นอกจากจะพยายามเกลี้ยกล่อมอาจิ้งแล้ว ทุกวันยังสั่งให้คนนำบัญชีร้านค้าไปให้ที่ห้องหนังสือของอาจิ้ง เพราะเขารู้ว่าอาจิ้งจะต้องเปิดดูอย่างทนไม่ได้
ถึงจะเป็นเช่นนี้ อาจิ้งกลับไม่ยอมเปลี่ยนจุดยืนของตัวเอง ยังคงยืนกรานไม่แย่งชิงตำแหน่งของผู้อื่น
สภาพชักเย่อกันเช่นนี้ดำเนินไปอยู่หลายปี จนกระทั่งเกิดเรื่องกับกิจการเมื่อห้าปีก่อน อาจิ้งถึงได้สอดมือเข้ามาในมุมมืด แต่ยังคงอาศัยชื่อของพี่ใหญ่ผู้นี้ลงมือกระทำ