สถานการณ์เสี่ยงเมื่อห้าปีก่อนภายใต้การวางแผนของอาจิ้งได้กลายเป็นจุดพลิกผันทางการค้าของเมืองโยวโจว ในขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถไม่ธรรมดาที่อาจิ้งมีในด้านการค้า แต่ในตอนที่เขาคิดอาศัยโอกาสนี้มอบตำแหน่งผู้นำให้กับน้องชายนั้น กลับแลกมาด้วยการจากไปโดยไม่ลาของอาจิ้ง ทั้งการจากไปครั้งเดียวนี้ยังยาวนานถึงห้าปี…
เป็นเขาที่บีบบังคับมากเกินไปหรือไม่
เขาไม่ควรมอบตำแหน่งผู้นำให้กับผู้ที่มีความสามารถหรอกหรือ
ห้าปีมานี้เซียวเหวยถามคำถามเช่นนี้กับตนเองไม่หยุดหย่อน อาจิ้งเคารพเขาที่เป็นพี่ใหญ่คนนี้อย่างยิ่ง เขารู้ว่านี่เป็นเหตุผลที่ตลอดมาอาจิ้งไม่ยอมรับตำแหน่งผู้นำตระกูลแทนเขา อาจิ้งใส่ใจกับการรักษาหน้าให้พี่ชายคนนี้มาก มากกระทั่งยอมจากบ้านไปนานหลายปี…
เฮ้อ เซียวเหวยเดินไปบนทางเดินหินแล้วถอนหายใจออกมาอีกคำรบหนึ่ง
ตลอดมาเขาคอยแบกรับความคาดหวังของทุกคนอยู่เสมอ หากคนนอกกลับไม่ได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนฉลาดเฉลียวคนนั้นของสกุลเซียว แม้แต่ผู้อาวุโสของตระกูลยังหลงคิดว่าเรื่องเมื่อห้าปีก่อนเป็นความสำเร็จของเขา แต่ความจริงเป็นความสำเร็จของอาจิ้งที่สร้างชื่อเสียงให้กับสกุลเซียวรุ่นนี้ ไม่ใช่เขา เขาไม่มีความสามารถเช่นนั้นจริงๆ!
เพิ่งจะเดินผ่านภูเขาจำลองแห่งหนึ่ง กำลังมุ่งไปยังศาลารับลม คาดไม่ถึงว่าที่ฝั่งตรงข้ามกลับมีคนกำลังเดินมาที่ศาลารับลมเช่นกัน ทั้งสองคนมองกันและกันแล้วต่างพากันชะงักไป ที่แท้อีกคนหนึ่งก็คือคนที่ไม่อาจนอนหลับลงเช่นกันอย่างเซียวจิ้ง
“ยังไม่นอนหรือ” เซียวเหวยมองน้องชาย เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“อืม” เซียวจิ้งผงกศีรษะเล็กน้อย เผยรอยยิ้มจางๆ “นอนไม่หลับ”
สองพี่น้องหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา แยกกันนั่งบนเก้าอี้หิน เงยหน้ามองจันทราบนฟ้าเงียบๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่เซียวเหวยจึงเปิดปากเอ่ย
“พวกเราสองพี่น้องไม่ได้ชมจันทร์ด้วยกันมานานแล้ว”
“ใช่แล้ว” เซียวจิ้งรู้สึกผิดอยู่บ้าง มุมปากเหยียดออกอย่างเย้ยหยันตนเอง
“หลายปีมานี้…” เซียวเหวยอดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ดวงดารากะพริบระยิบระยับ เซียวจิ้งเงยหน้ามองท้องฟ้า ยิ้มบางๆ เอ่ย
“ก็ยังพอไหวอยู่”
“ไปที่ใดมาบ้าง”
“เดิมวางแผนจะไปร่อนเร่ที่หนานหยาง แต่บังเอิญเจอขบวนพ่อค้าที่กำลังจะเดินทางไปฝั่งตะวันตกที่เมืองหลวงเลยเปลี่ยนใจ เดินทางไปยังซีอวี้ด้วยกันกับขบวนพ่อค้ากลุ่มนั้นแทน”
“ไปห้าปีเลยหรือ” เขารู้ว่าการเดินทางนั้นยากลำบาก แต่ก็ยังคงอดคิดไม่ได้ว่าน้องชายกำลังจงใจ ไม่ได้ไปหนานหยางกลับไปทางซีอวี้ คิดว่าคงอยากยิ่งไปให้ไกลยิ่งดีมากกว่า! เซียวเหวยดวงตาหม่นแสงลง ถอนหายใจในอกขึ้นมาอีกครั้ง
แม้สำเนียงถามไถ่ของเซียวเหวยจะยังคงอบอุ่น ทว่ากลับปิดการตำหนิติเตียนและความเจ็บปวดที่มีอยู่ไม่มิด ทำให้เซียวจิ้งต้องเปิดปากอธิบายอย่างช่วยไม่ได้
“เดิมทีไม่ได้วางแผนจะไปนานถึงเพียงนั้น แต่ที่ซีอวี้ได้พบดินแดนที่งดงามสงบสุขโดยไม่ตั้งใจ ทั้งยังได้สาบานเป็นพี่น้องกับหนึ่งในผู้นำเผ่า ดังนั้น…” เดิมเขาตั้งใจจะพูดต่อ แต่เห็นแววตาทั้งจนใจปนเข้าใจของเซียวเหวย คำพูดที่เหลือจึงกลืนหายไปในลำคอ
“พี่ใหญ่อาจไม่ฉลาดเท่าเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็เคยฝึกฝนมาบ้าง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้ว” เซียวเหวยส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ออกจากบ้านไปห้าปี อย่าบอกนะว่าความคิดของเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนไปอีก? สมัยนั้นเหยาซุ่น เลือกผู้ฉลาดและมีความสามารถ แม้แต่ตำแหน่งจักรพรรดิยังยกให้ผู้อื่น ข้าก็เพียงแค่…”
“พี่ใหญ่!” เซียวจิ้งพลันขัดพี่ชายขึ้นมาด้วยสีหน้าขออภัย ทั้งยิ้มขมขื่นเอ่ย “คิดเสียว่า…ข้านั้นหัวแข็ง ขอพี่ใหญ่ได้โปรดให้อภัยด้วย”
สีหน้าลำบากใจของเซียวจิ้งทำให้เซียวเหวยจบประเด็นสนทนานี้ ไม่บีบบังคับอีกฝ่ายอีกต่อไป
“ตกลง ข้าจะไม่พูดไปมากกว่านี้แล้ว พวกเราสองพี่น้องไม่ได้พบกันมานาน ไม่ควรคุยกันเรื่องพวกนี้” เขามองไปที่เซียวจิ้งแล้วยิ้ม “วันข้างหน้าต่อไปเจ้าจะต้องอยู่พูดคุยกับพี่ดีๆ เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ช่วงหลายปีมานี้ อธิบายถึงทิวทัศน์ทะเลทรายให้ฟังเสียหน่อย พี่ใหญ่ทำการค้ามาหลายปี ยังไม่เคยออกจากด่านอวี้เหมินเลย”