ภายนอกเซียวเหวยเหมือนยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง ความจริงในใจกลับคิดว่าถึงอย่างไรธุระกับร้านขนส่งทางทะเลสี่คาบสมุทรก็คุยเสร็จแล้ว การค้าที่ควรทำเองก็จัดการเรียบร้อย พรุ่งนี้พวกเขาต้องการจะเดินทางกลับเมืองโยวโจวอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจนเกินไป สร้างบรรยากาศให้อึดอัดขึ้นมา เรื่องนี้ยังสามารถรั้งรอเอาไว้ รอกลับถึงบ้านแล้วค่อยๆ โน้มน้าวน้องชายก็ยังไม่สาย
เซียวจิ้งเองก็รู้ว่าพี่ใหญ่เพียงแค่พักรบชั่วคราว ไม่ได้ตั้งใจจะยอมแพ้จริงๆ แต่ว่าเขาเองก็เพียงยกมุมปากขึ้นจางๆ จากนั้นก็เปิดปากเล่าประสบการณ์ในช่วงหลายปีนี้ให้ฟัง ในใจลึกๆ เขากำลังคิดอะไรอยู่ โดยประมาณแล้วก็มีแต่ตัวเขาเองที่รู้
ภายใต้แสงจันทร์ สองพี่น้องพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของตนเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ และช่วงเวลาก็ได้เคลื่อนคล้อยไปเช่นนี้เอง
ภายใต้เสียงสนทนา บางคราวก็ได้ยินเสียงหัวเราะ ทอดถอนใจ สองพี่น้องไม่ได้พบกันมานานหลายปี การสนทนาครั้งนี้ได้พูดคุยกันจนดวงอาทิตย์ขึ้น ท้องฟ้าสว่างแล้วจึงได้แยกย้ายกันไป
“แย่แล้วๆ!”
เพิ่งจะยามอู่ก็ได้เห็นบ่าวรับใช้คนหนึ่งร้องตะโกนโหวกเหวกด้วยสีหน้ากระวนกระวาย รีบร้อนวิ่งผ่านสิ่งก่อสร้างสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ทางเดินหิน เลยมาจนถึงห้องโถงหลัก
พ่อบ้านของสกุลเซียวแห่งลั่วหยางเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องโถงก็ได้เห็นบ่าวรับใช้ผู้นั้นวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ทำให้เขาอดขมวดคิ้วเอ่ยตำหนิติเตียนขึ้นมาไม่ได้
“เกิดเรื่องใหญ่อะไร ทำให้เจ้าต้องร้องตกอกตกใจขนาดนั้น มารยาทสักนิดก็ไม่มี!”
“พ่อบ้านฟาง คุณชายรอง…คุณชายรองหายไปแล้ว!”
พ่อบ้านฟางใบหน้าซีดขาว แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร เสียงตะโกนโวยวายก็ดังมาให้ได้ยินอีก
“แย่แล้วๆ!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก” เขาตำหนิถามด้วยสีหน้าดูไม่ได้
“คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่เขา…เขา…” บ่าวรับใช้ผู้นั้นเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง ลมหายใจหอบจนพูดไม่เป็นคำ
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายใหญ่!” พ่อบ้านฟางเร่งถามอย่างกังวล ในใจกลับมีลางสังหรณ์ไม่ดีนัก คงไม่ใช่ว่า…
“คุณชายใหญ่หายไปแล้วขอรับ!” บ่าวรับใช้ผู้นั้นเอ่ยต่อจนจบ ยืนยันความกังวลของพ่อบ้านฟางออกมา
“อะไรนะ!” หนนี้สีหน้าของพ่อบ้านฟางได้เปลี่ยนจากขาวเป็นเขียวแล้ว “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าบรรดาคุณชายพูดคุยกันตลอดทั้งคืนหรอกหรือ ยามนี้ควรจะกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องทั้งคู่จึงจะถูกสิ!”
“ใช่แล้วขอรับ แต่เมื่อครู่บ่าว…บ่าวคิดจะไปเรียกคุณชายใหญ่ขึ้นมากินอาหาร ใครจะรู้ว่า…ใครจะรู้ว่าในห้องกลับไม่มีคน…” บ่าวรับใช้ผู้นั้นตอบกลับด้วยใบหน้าทุกข์ใจ
อีกคนหนึ่งก็พูดด้วยสีหน้าขมขื่น
“บ่าว…คุณชายรองก็เช่นกัน…”
“เสี่ยวซานจื่อเล่า เสี่ยวซานจื่อควรจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รีบไปเรียกเขามาเร็วเข้า!” พ่อบ้านฟางร้อนใจจนตะโกนสั่งเสียงดัง
เสี่ยวซานจื่อเป็นคนที่โตมาพร้อมกับคุณชายใหญ่และคุณชายรอง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อก่อนเขาเองก็เป็นบ่าวรับใช้ประจำตัวคุณชายรอง ถามเขาก็น่าจะทำให้รู้เหตุผล ไม่อย่างนั้นหากคุณชายทั้งสองล้วนหนีไปหมดแล้ว กิจการอันยิ่งใหญ่เหล่านี้จะต้องทำอย่างไรดี สกุลเซียวยังคงมีการค้าอีกหลายอย่างที่รอให้ตัดสินใจ ยิ่งมีคนอีกจำนวนมากรอคุณชายทั้งสองให้ข้าวกิน!
ใครจะรู้ว่าเขาเพิ่งกล่าวจบกลับได้ยินเสียง…
“แย่แล้วๆ!”
สีหน้าของพ่อบ้านฟางเปลี่ยนจากเขียวเป็นม่วง เขามองไปที่บ่าวรับใช้ชายที่วิ่งตะบึงเข้ามาเป็นคนที่สาม แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหบกระด้าง
“คงไม่ใช่ว่า…เสี่ยวซานจื่อเองก็หายตัวไปแล้วหรอกนะ”
“หา? พ่อบ้านฟางท่านรู้ได้อย่างไรขอรับ!” บ่าวรับใช้คนนั้นเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจปนนับถือ
พ่อบ้านฟางสีหน้าดำคล้ำ ตาเหลือก คิดอยากสลบไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด
“พ่อบ้านฟาง พวกเรา…ต้องไปแจ้งทางการหรือไม่ขอรับ” บ่าวชายผู้หนึ่งถามอย่างหวั่นเกรง
“แจ้งทางการอะไร คุณชายทั้งสองไม่ได้โดนใครลักพาตัวไป พวกเราจะอาศัยอะไรไปแจ้งทางการ!” พ่อบ้านฟางใกล้จะโมโหจนตายแล้วจริงๆ เขาสูดลมหายใจเข้า ดึงสติกลับมาอีกครั้งแล้วเริ่มโบกมือสั่งการ “พวกเขาจะต้องยังไปไม่ไกลแน่ รีบส่งคนไปที่ประตูเมืองสอบถามว่ามีคนเห็นคุณชายทั้งสองหรือไม่ บางส่วนไปดูตามตรอกซอกซอย อีกส่วนไปดูที่เส้นทางหลัก ส่วนคนที่เหลือไปหาตามหอสุราโรงน้ำชาทุกๆ ที่!” เขาโบกมือพร้อมตะโกนเสียงดัง “เร็วๆ เร็วเข้า! พวกเราจะต้องพาตัวคุณชายทั้งสองกลับมาให้ได้ สกุลเซียวไม่อาจขาดผู้นำได้แม้แต่วันเดียว อย่างน้อยก็ต้องเอากลับมาให้ข้าสักคน!”
มองบรรดาบ่าวรับใช้วิ่งออกนอกประตูไปตามคำสั่ง พ่อบ้านฟางถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง คิดในใจด้วยใบหน้าที่กำลังร้องไห้โดยไร้น้ำตา
สวรรค์ได้โปรดคุ้มครองด้วย จะต้องให้พวกเขาหาใครสักคนกลับมาให้ได้!