14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ลำนำรักเจ้าสมุทรชุด หัวใจเจ้าทะเล
ทางฝั่งตะวันออกของเมืองลั่วหยาง ณ วัดไป๋หม่า
วัดไป๋หม่าสร้างขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิฮั่นหมิงตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เป็นวัดโบราณเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาเป็นแห่งแรกในช่วงที่พุทธศาสนาเข้ามาในจงหยวน* จวบจนปัจจุบันได้มีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่าหลายร้อยปีแล้ว สำหรับชาวลั่วหยางก็นับได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ที่มีชื่อเสียงและสำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่มาไหว้พระทำบุญจึงมีมาก เพิ่งจะยามเที่ยงตรงก็มีชาวบ้านจำนวนมากมาจุดธูปไหว้พระที่นี่แล้ว
เซียวจิ้งมาถึงวัดไป๋หม่ากลับไม่ได้มาไหว้พระ เพียงแค่เดินตรงจากประตูเล็กข้างหอพระมายังลานด้านหลัง เหตุผลก็เพื่อสลัดเสี่ยวซานจื่อที่ติดตามมาข้างหลังให้พ้น
เช้าวันนี้ทันทีที่กลับมาถึงห้อง เตียงไม่ทันนอนก็แอบหลบออกมาทางหน้าต่าง เพราะเขารู้ว่าพี่ใหญ่ไม่มีทางยอมรามือด้วยเหตุนี้ ใครจะไปรู้ว่าเพิ่งออกมาได้ไม่ไกลเท่าไรก็พบว่าเสี่ยวซานจื่อกำลังแอบติดตามมาที่ข้างหลัง เขากลัวว่าทันทีที่ตนออกวิ่งเสี่ยวซานจื่อก็จะตะโกนโวยวายเสียงดัง จึงทำได้เพียงเดินวนอ้อมเมืองลั่วหยางหนึ่งรอบอย่างไม่ให้มีพิรุธ คิดหาโอกาสสลัดหลุดจากเสี่ยวซานจื่อ หารู้ไม่ว่าเจ้าเด็กคนนี้ตามมาอย่างเหนียวแน่นนัก ทำให้เขาหาโอกาสไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ดังนั้นถึงคิดใช้จำนวนผู้คนที่มาไหว้พระในวัดไป๋หม่าเป็นตัวช่วย
เขาเพิ่งจะเดินเข้าไปในลานด้านหลัง กลับได้เห็นเงาร่างสะโอดสะองของจั้นชิง
คาดไม่ถึงว่าวันนี้นางจะสวมอาภรณ์สตรีอย่างหาได้ยาก ก้มศีรษะหลุบตา มองไปยังดอกโบตั๋นสีชมพูที่ยังไม่บานดอกนั้นที่เบื้องหน้าอย่างสงบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่…
หากบอกว่าตนเองรู้สึกถึง ‘สามวันไม่พบหน้า มิอาจมองเหมือนเก่า’ กับท่าทีสงบเสงี่ยมอ่อนโยนของนาง ยังมิสู้บอกว่า ‘หนึ่งวันไม่พบหน้า ดั่งสามสารทผ่านไป’ น่าจะเหมาะสมกว่าบ้าง เพราะเขารู้ว่านางที่ดูอ่อนหวาน ภายในก็ยังคงเป็นคุณหนูใหญ่สกุลจั้นผู้เยือกเย็นทะนงตน องอาจกล้าหาญผู้นั้นเช่นเดิม
ความจริงแล้วนางมิได้งดงามดุจเทพเซียน แต่เมื่อเทียบกับคุณหนูตระกูลอื่นแล้ว กลับมีเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากนางได้อยู่เสมอ บางทีอาจเป็นเพราะนางมักมีกลิ่นอายไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดแผ่ซ่านอย่างเต็มเปี่ยมจนชวนให้คนตาพร่า
“คุณชายรอง ท่านนี้คือคุณหนูตระกูลใดกันหรือขอรับ”
สุ้มเสียงถามไถ่ด้วยความประหลาดใจเรียกสติเขากลับมา เซียวจิ้งลอบถอนหายใจกับตนเองอย่างห้ามไม่ได้ สวรรค์หนอ เขากลับมัวแต่มองนางจนถึงขั้นลืมพยาธิตัวนี้ไปเสียแล้ว
เขาหันหน้ากลับไปอย่างปวดศีรษะ ก็ได้เห็นเสี่ยวซานจื่อที่ข้างกายเขากำลังชะโงกหน้ามองดูจั้นชิงที่อยู่ไกลออกไป
“เจ้า…” เซียวจิ้งเพิ่งจะเปิดปากคิดกล่าวไล่อีกฝ่ายอย่างทนไม่ไหว กลับได้ยินเสียงแหวกผ่านอากาศดังมาจากทางด้านหลังกะทันหัน
เขายื่นมือออกไปกดศีรษะเสี่ยวซานจื่อและรีบหันหน้ากลับไป พบว่าอาวุธลับที่แหวกผ่านอากาศมานั้นไม่ได้พุ่งเป้ามาทางพวกเขาทั้งสองคน แต่กลับมุ่งไปทางจั้นชิงแทน!
“ระวัง!” เขาเด็ดกิ่งไม้ที่ด้านหน้าโจมตีไปยังอาวุธลับที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วนั้นในชั่วพริบตา
คาดไม่ถึงว่าเขากำจัดอาวุธลับที่บินมาจากทางด้านหลังได้ แต่อีกทางหนึ่งก็มีอาวุธมุ่งตรงไปหาจั้นชิงเช่นกัน และเสียงตะโกนนี้ของเขากลับทำให้จั้นชิงมุ่งความสนใจมาทางเขาจนถูกอาวุธลับที่พุ่งมาจากอีกทางโจมตี
อาวุธชิ้นนั้นโจมตีโดนอกข้างซ้ายของนาง จั้นชิงรู้สึกชาวาบที่บาดแผล จากนั้นทั้งร่างก็อ่อนยวบ ล้มลงไปด้านหลัง
เซียวจิ้งทะยานออกไปรับร่างที่ล้มลงของนาง โอบอุ้มนางหลบประกายสีเงินที่พุ่งมาอีกอันหนึ่ง
ตัวเขายังไม่ทันลงแตะพื้นก็ได้ยินเสียงดาบปะทะกันดังมาจากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็ได้เห็นเซียวเหวยในมือถือดาบยาวกำลังพัวพันต่อสู้กับชายชุดดำสองคน
ใบหน้าเซียวจิ้งแสดงรอยยิ้มขมขื่น สมควรตายแท้ๆ แม้กระทั่งโดนพี่ใหญ่ตามอยู่ข้างหลังเขายังไม่รู้ตัว!
เท้าเพิ่งจะแตะพื้น อีกฝั่งหนึ่งก็มีเสียงต่อสู้ดังมา เขาไม่จำเป็นต้องหันหน้าไปมองก็รู้ว่าคนที่เร่งตามมาคือเสี่ยวโจว บางทีเมื่อครู่คงกำลังยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านหน้า
“คุณหนูจั้น เจ้ายังไหวหรือไม่” ทันทีที่เขายืนได้อย่างมั่นคงแล้วก็รีบก้มศีรษะลงถามสตรีในอ้อมแขน ทว่ากลับได้เห็นนางสีหน้าเขียวคล้ำ หมดสติไปเรียบร้อยแล้ว
เซียวจิ้งรีบร้อนตรวจสอบบาดแผลบนอกข้างซ้ายของนาง เห็นอาวุธลับชิ้นนั้นทอประกายสีน้ำเงิน ทั้งยังมีกลิ่นคาวที่ฉุนจมูกลอยออกมา สีหน้าเขาพลันซีดขาว นึกออกทันทีว่าสิ่งที่ชุบอยู่บนอาวุธลับชิ้นนั้นก็คือพิษนกยูงครามอันร้ายกาจของชนเผ่าเหมียวเจียง*!
ไม่อาจมัวห่วงเรื่องบุรุษสตรีไม่สมควรใกล้ชิดกันได้อีก เซียวจิ้งรีบวางนางลงกับพื้นแล้วสกัดจุดชีพจรที่ข้างบาดแผลของนาง ดึงอาวุธลับชิ้นนั้นออก หยิบมีดเล่มเล็กที่สะอาดเอี่ยมกรีดเสื้อบริเวณบาดแผลของนางให้กว้างขึ้น ก่อนก้มตัวลงดูดเลือดพิษจากบาดแผลแล้วถุยลงบนพื้นดิน
จวบจนกระทั่งสีเลือดกลายเป็นสีแดงสด เขาถึงได้หยุดลง จากนั้นก็หยิบกระปุกยาออกมาจากในอกแล้วทาลงบนบาดแผลของนาง แต่เขารู้ว่ายามนี้ยังไม่อาจวางใจได้ เพราะสีหน้าของจั้นชิงไม่ได้ดูดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย อุณหภูมิร่างกายเย็นเฉียบจนน่าตกใจ
ความน่ากลัวของพิษชนิดนี้คือการแพร่ซึมได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังไม่มียาแก้!
สีหน้าเซียวจิ้งซีดขาวประดุจคนตายเช่นนั้น เขารู้ว่าศิษย์อาจารย์คู่นั้นที่เมืองฉางอันจะต้องมีวิธีจัดการ ขอเพียงเขาพานางเร่งไปถึงฉางอันให้ได้ภายในสามวัน!
เซียวจิ้งรีบอุ้มจั้นชิงเดินมาที่ด้านหน้าเสี่ยวซานจื่อ เอ่ยด้วยใบหน้าซีดเผือด
“คอกม้าของเมืองลั่วหยางอยู่ที่ใด”
“อยู่…อยู่ทางตะวันออกของเมืองขอรับ ห่างจากหน้าวัดไป๋หม่าไปเพียงครึ่งลี้เท่านั้น พวก…พวกเราเพิ่งจะผ่านมาขอรับ” เสี่ยวซานจื่อตกใจไปเฮือกใหญ่ รีบร้อนตอบคำถาม
เมื่อเห็นพี่ใหญ่และเสี่ยวโจวยังคงต่อสู้พัวพันกับศัตรู เซียวจิ้งจึงกล่าวทิ้งไว้หนึ่งประโยค
“นางถูกพิษเข้าแล้ว ข้าจะพานางไปหาหมอที่เมืองฉางอัน บอกให้พวกเขาตามมาที่สำนักเฟิงอวิ๋นแห่งฉางอัน…” ยังไม่ทันกล่าวจบ เขาก็อุ้มจั้นชิงจากไปไกลแล้ว ทิ้งเพียงเสียงขาดหายเอาไว้