สกุลเซียวแห่งโยวโจวที่ทำการค้ามารุ่นต่อรุ่นได้เลี้ยงม้าไว้เช่นกัน ทั้งม้าที่เลี้ยงยังเป็นม้าฝีเท้าดีชั้นหนึ่ง!
บรรดาม้าเหล่านี้ พวกเขาทั้งนำมาใช้ส่งสินค้าและยังขายออกเพื่อเป็นรายได้อีกทางด้วย บรรดาคนที่ซื้อล้วนเป็นกลุ่มคนชนชั้นสูง เพราะว่าม้าของสกุลเซียวที่โยวโจวผ่านการผสมสายพันธุ์จนสามารถวิ่งได้เร็ว รับน้ำหนักได้มาก นิสัยยังเชื่อฟัง ที่ผ่านมาเกือบร้อยปีล้วนมีชื่อเสียงอันดีงาม ท่ามกลางม้าจำนวนมากเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมมีม้าฝีเท้าดีจากหนึ่งในหมื่นที่สามารถวิ่งได้พันลี้ต่อวัน และในยามนี้ม้าตัวที่เซียวจิ้งขี่อยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ชื่อว่ายอดอาชาพันลี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ได้หมายความว่ามันสามารถวิ่งได้พันลี้จริงๆ แต่อย่างน้อยความเร็วของฝีเท้ายามวิ่งก็ไม่ใช่อะไรที่ม้าธรรมดาทั่วไปจะสามารถเทียบได้
บนม้ากระทบกระเทือนเป็นอย่างยิ่ง แต่จั้นชิงก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลยตลอดเส้นทาง เซียวจิ้งโอบกอดนาง รู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางเย็นเยียบยิ่งนัก หากโชคดีที่ชีพจรยังนับว่าเต้นสม่ำเสมออยู่
หลังเร่งรีบห้อตะบึงม้ามาตั้งแต่ยามอู่จนถึงช่วงค่ำ เป็นเพราะมีก้อนเมฆบดบังแสงจันทร์ เขาถึงได้ให้ม้าชะลอความเร็วลง เพื่อรอให้ดวงจันทร์ค่อยๆ ปรากฏกลับมาอีกครั้ง แต่จู่ๆ จั้นชิงกลับได้สติขึ้นมากะทันหัน
เซียวจิ้งหยุดม้าลงทันที โอบกอดนางขณะถาม
“เจ้ายังไหวหรือไม่”
“ท่าน…” จั้นชิงลืมตาอย่างอ่อนล้า ในตอนที่เห็นเขาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง นางพยายามจะออกจากอ้อมกอดของเขาขึ้นมานั่งตรงๆ แต่กลับพบว่าตนเองไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง ทำได้เพียงถามเขากลับในสภาพเช่นนี้ “ท่าน…มาทำอะไรอยู่ที่นี่”
ได้ยินคำถามนี้แล้ว เซียวจิ้งเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา สวรรค์ นางช่างชอบถามประโยคนี้กับเขาจริงๆ! แต่คำถามเชิงตำหนินี้ของนางนับว่าทำให้เขาสบายใจขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยสตินางก็ยังคงอยู่ครบถ้วน
“เจ้าได้รับบาดเจ็บ บนอาวุธลับมีพิษ ข้ากำลังจะพาเจ้าไปหาหมอที่เมืองฉางอัน” เขาตอบอย่างอบอุ่น
“พิษอะไร” พิษประเภทใดกันที่ทำให้เขารั้งรอไม่ได้ ต้องพานางไปหาหมอยังที่ห่างไกลอย่างเมืองฉางอัน? จั้นชิงขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รู้ว่าบาดแผลของตนดูท่าจะหนักหนาไม่น้อย
เดิมทีเซียวจิ้งไม่อยากจะตอบคำถาม แต่เมื่อเห็นดวงตาแน่วแน่ของนาง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตอบ
“นกยูงคราม”
นกยูงคราม!
จั้นชิงเคยได้ยินชื่อพิษชนิดนี้มาก่อน และรู้ว่ายังไม่มียาแก้ นางหลับตาลงอย่างอ่อนล้า
“ข้าไม่รอดแล้ว”
นางไม่ได้กำลังพูดประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคบอกเล่า ประโยคนี้ฟังเข้าหูเซียวจิ้งแล้ว ชั่วขณะก็ทำให้เขาปวดใจจนยากจะทานทน
“ไม่ เจ้าไม่มีทางตาย” เขาก้มตัวลงพูดประโยคนี้อย่างหนักแน่นที่ข้างหูของนาง “ที่เมืองฉางอันมีคนที่สามารถแก้พิษนี้ได้ พวกเขาติดหนี้บุญคุณข้า และตอนนี้ข้าก็ใช้กำลังภายในระงับพิษของเจ้าเอาไว้ชั่วคราวแล้ว ต่อจากนี้ขอเพียงไปให้ถึงภายในสามวันก็เพียงพอ”
“จริงหรือ” จั้นชิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มองเขาอย่างคาดหวัง ในใจผุดความมุ่งหวังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ไม่อยากตายเลย นางยังมีเรื่องที่อยากทำอีกมากมาย ยังมีแผนการอีกมากมายที่ต้องดำเนินการ นางต้องผลักดันมังกรสมุทรตระกูลจั้น ไม่เพียงแต่ที่เส้นทางหลักในทะเล แต่ที่แม่น้ำก็ด้วย นางต้องการพิสูจน์ให้คนทั้งโลก พิสูจน์ให้บิดาเห็นว่านางจั้นชิงเป็นคนมีความสามารถ…
“วางใจเถิด” เซียวจิ้งมองสบความอ่อนแอในแววตาของนางซึ่งแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว แล้วกอดนางแน่นยิ่งขึ้น “ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าตาย”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมาจากนาง เขาจึงก้มหน้าลงมอง ถึงได้พบว่านางหมดสติไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว
หัวใจเซียวจิ้งบีบรัดแน่น กลัวว่านางจะทนไปถึงเมืองฉางอันไม่ไหว ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควร เขาก็ยังคงประทับจูบลงบนหน้าผากของนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ทนต่อไป อย่าได้ยอมแพ้ในตอนนี้…”
เขาเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ขจัดความมืดมิดออกไป อธิษฐานอยู่เงียบๆ
สวรรค์ หลังจากที่ข้าตามหาสตรีในดวงใจพบอย่างยากลำบาก ก็อย่าได้พานางจากไปอย่างโหดร้ายเลย…
เขาถอนหายใจแผ่วเบา มือหนึ่งกุมเชือก อีกมือโอบกอดนางแน่น จากนั้นจึงกระตุกบังเหียนเร่งฝีเท้าม้า ห้อตะบึงต่อไปยังเมืองฉางอันภายใต้แสงจันทร์