ณ เนินสองลี้
เมื่อมาถึงเนินสองลี้หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ร่างกายของเขาก็เริ่มอ่อนล้าจากการนั่งอยู่บนหลังม้านานๆ อีกทั้งดวงจันทร์ยังถูกเมฆบดบังแสงสว่างไปอีกครั้ง ยามกลางคืนยากจะเดินทาง เซียวจิ้งรู้ว่าไม่ควรฝืนไปต่อ จึงพาจั้นชิงเข้าพักที่โรงเตี๊ยมในหมู่บ้าน พักผ่อนสั้นๆ ตั้งใจว่าทันทีที่ฟ้าสางค่อยเร่งรีบเดินทางต่อ
หลังเข้าพักในห้องเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็นำชาร้อนกับน้ำล้างหน้าขึ้นมาส่ง ทั้งยังจุดโคมให้ทั้งสองคนแล้วถึงล่าถอยออกไป
เซียวจิ้งคลายสาบเสื้อนางออกภายใต้แสงโคมสลัว หยิบผ้าสะอาดขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดบนบาดแผลของนาง ทั้งยังช่วยทาแผลให้นางใหม่อีกครั้ง ผิวตั้งแต่ช่วงลำคอของนางขาวเนียนเป็นอย่างมาก ตัดกับผิวสีคล้ำที่เปิดเผยอยู่นอกเสื้ออย่างเห็นได้ชัด เขามองสีผิวอันแตกต่างกันของนางอย่างลุ่มหลง นิ้วมือลูบเบาๆ บริเวณที่สีผิวตัดกันตรงช่วงลำคอกับอกโดยไม่รู้ตัว
เพราะเดินอาบแดดอยู่ซีอวี้มานานหลายปี บนร่างของเขาเองก็ย่อมมีสีผิวที่แตกต่างกันเช่นนี้ แต่เขากลับไม่เคยคิดจะสัมผัสดู ยิ่งรวมเข้ากับที่ผิวหนังของบุรุษหยาบกระด้าง ไม่นุ่มลื่นเช่นนี้เหมือนดั่งผิวของนาง ผิวสีเปลือกข้าวกับสีน้ำนมบนร่างของนางมองดูแล้วก็ราวกับความเนียนของหยกสองสีเช่นนั้น หลอมรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง ทำเอาเขาตัดใจชักมือกลับไม่ลง แต่ว่าหากเขายังลูบไล้ต่อไปก็อาจจะอดใจไม่ไหวจนถอดอาภรณ์ของนาง อีกทั้งหากนางได้สติขึ้นมาแล้วเห็นเขากำลังเอาเปรียบอยู่เช่นนี้ ก็มีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนเลยทีเดียวที่จะไปหยิบดาบมาฟันเขา
เซียวจิ้งหยักมุมปาก หัวเราะเย้ยหยันตนเองแล้วถึงได้ละออกจากผิวดุจหยกเย็นของนางอย่างอ้อยอิ่ง ทว่ากลับเห็นที่คอของนางห้อยเชือกแดงเอาไว้เส้นหนึ่ง เขาดึงเชือกแดงเส้นนั้นออกมาดูด้วยความประหลาดใจ ที่ปลายเชือกคือหยกกลมสีเขียวเข้มครึ่งซีกอันหนึ่ง บนนั้นแกะสลักลวดลายมังกรเขียวที่กำลังร่ายรำกางกงเล็บอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ตัวหนึ่ง
เซียวจิ้งกำหยกก้อนนั้น สองคิ้วขมวดแน่น เพราะลักษณะเช่นนั้นราวกับถูกใครหักครึ่ง ดูๆ แล้วควรจะมีอีกครึ่งหนึ่งสิถึงจะถูก หยกแบบครึ่งวงกลมเรียกว่าหยกเสี้ยว หรือว่านี่จะไม่ใช่หยกเสี้ยว แต่เป็นครึ่งหนึ่งของหยกเต็มวง? เพราะเหตุใดนางถึงสวมแค่ครึ่งเดียว
หรือว่า…ในใจเซียวจิ้งผุดความไม่สบายใจขึ้นมา นับตั้งแต่โบราณผู้คนก็ชอบใช้หยกเป็นของแทนการหมั้นหมาย หรือนางอาจจะหมั้นหมายกับใครเอาไว้แล้ว
“ท่านทำอะไร” จั้นชิงได้สติขึ้นมากะทันหัน ทันทีที่ลืมตาแล้วเห็นว่าในมือของเขากำลังกุมหยกเขียวที่ตนสวมไว้ติดกายตั้งแต่เด็ก นางก็พยายามลุกขึ้น มือดึงหยกเขียวชิ้นนั้นแย่งกลับมาจากในมือเขา แต่เป็นเพราะร่างกายอ่อนแอเกินไป คนทั้งคนจึงเอนล้มไปข้างหลังอีกครั้ง
เซียวจิ้งประคองศีรษะด้านหลังของนางเอาไว้ได้ทัน ไม่ให้นางกระแทกโดนหัวเตียง แต่เมื่อเห็นนางหวงแหนหยกชิ้นนี้ถึงเพียงนี้ ความไม่สบายใจในอกของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
จั้นชิงเพิ่งจะสงบสติลงก็พบว่าสาบเสื้อของตนถูกคลายออกกึ่งหนึ่ง ถึงแม้ส่วนที่ควรปกปิดยังคงปกปิด แต่ทรวงอกก็ถูกเปิดเผยออกมามากกว่าครึ่งแล้ว โดยเฉพาะตรงอกซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บ ผ่านการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเช่นนี้ สาบเสื้อที่ถูกคลายออกนั้นเกือบจะร่วงหล่นลงมาทั้งหมด นางคว้าสาบเสื้อเอาไว้ได้ทันท่วงทีอย่างเฉียดฉิว แต่กลับไม่มีแรงควบคุมร่างกายตนเอง ตัวคนทั้งคนร่วงหล่นสู่อ้อมกอดเซียวจิ้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ท่าน…” นางทั้งอายทั้งโกรธ มือหนึ่งกุมหยก อีกมือปิดบังสาบเสื้อ คิดอยากออกจากอ้อมอกเขาก็ไม่มีแรง ทำได้เพียงหอบหายใจเบาๆ ใบหน้าแดงระเรื่อ ถลึงตามองเขาอย่างกรุ่นโกรธ “เหตุใดท่านถึงได้ปลด…”
“คุณหนูจั้น ข้าไม่ได้มีเจตนาเอาเปรียบ แต่ว่าเจ้าถูกพิษ ข้าจำเป็นต้องช่วยเจ้าทายา” เขาก้มหน้าลงเอ่ยอธิบายกับคนในอ้อมกอด ปลายจมูกได้กลิ่นหอมบนร่างของนาง แทบทำให้เขาอยากโน้มลงไปจูบหน้าผากนางอย่างแผ่วเบา
จั้นชิงเข้าใจว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย นี่เป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ แต่นางก็ยังคงรู้สึกสุดจะทน โทสะจุกอยู่ในอก พูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน ทำได้เพียงเบี่ยงศีรษะหลบออกไม่มองเขา