ในสมองของนางสะท้อนคำที่เขาเพิ่งพูดเมื่อครู่กลับไปกลับมา จู่ๆ ก็พลันตระหนักได้ว่าเขาเคยปลดสาบเสื้อนาง ทายาให้บนบาดแผลตรงอกซ้ายของนางมาก่อน ในช่วงเวลากะทันหันเช่นนั้น บาดแผลพลันร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างหาใดเปรียบ จากนั้นความร้อนนั้นก็ยังแผ่กระจายไปทั่วร่าง…
ประสาทสัมผัสบนร่างของนางว่องไวขึ้นเป็นพิเศษในฉับพลัน รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอันอบอุ่นของมือที่หลังศีรษะนาง รู้สึกถึงมืออีกข้างของเขาที่สัมผัสเอวตนเองอยู่ รู้สึกได้ถึงแผ่นอกอันร้อนผ่าวและจังหวะหัวใจที่เต้นสม่ำเสมอของเขา รู้สึกได้ว่าทั้งร่างของนางแทบจะกำลังเอนนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ชั่วพริบตานั้นจั้นชิงเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำ พยายามออกแรงทั้งหมดคิดอยากผละจากอ้อมกอดของเขา รักษาระยะห่างระหว่างกัน
เหตุใดจู่ๆ อุณหภูมิของนางถึงเพิ่มสูงขึ้นมาได้ พิษนกยูงครามควรจะทำให้อุณหภูมิของนางลดต่ำลงจึงจะถูกสิ! เซียวจิ้งเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เจ้ายังไหวอยู่ใช่หรือไม่”
หลังพบว่าตนเองอ่อนแอเกินไปจนไม่มีแรงจะขยับตัวแล้วจริงๆ จั้นชิงจึงพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเจือโทสะ
“ท่าน…ท่านปล่อยข้า…”
“เอ๋? ขออภัย” ยามนี้เซียวจิ้งถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองยังโอบผู้อื่นอยู่ ถึงแม้จะตัดใจจากร่างหอมกรุ่นในอกไม่ได้ แต่ยังคงรีบพยุงนางนอนลงไป ทั้งช่วยนางห่มผ้า มือใหญ่ยังไม่ลืมสัมผัสหน้าผากนาง วัดอุณหภูมิของนางเล็กน้อย
เมื่อพบว่าอุณหภูมิไม่ได้สูงอย่างที่คิดไว้ เขาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา
“เจ้าอยากกินอะไรหน่อยหรือไม่ ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์นำขึ้นมาให้”
“ไม่ต้อง…”
นางเกลียดความอ่อนแอเช่นนี้ของตนเองนัก แค่คิดจะนอนลงยังต้องให้เขาช่วยประคอง จั้นชิงรู้สึกหงุดหงิดกับสภาพร่างกายของตนเอง ในเบ้าตามีน้ำตาคลอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะรู้ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่นางก็ยังคงเอนศีรษะไปอีกทางหนึ่งเหมือนดั่งอารมณ์เสีย
“เช่นนั้นอยากดื่มชาร้อนหรือไม่” เขาถามอีกครั้งอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้อง” นางตอบสั้นห้วน น้ำเสียงกลับยากจะปกปิดอาการสะอื้น
นางกำลังร้องไห้หรือ เซียวจิ้งไม่ได้พลาดน้ำเสียงกลั้นสะอื้นเล็กน้อยนั้น จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี มือเท้าเขาเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าควรเปิดปากเอ่ยปลอบนาง หรือว่าควรทำเป็นไม่รู้เรื่องดี
การไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองของเขากลับทำให้จั้นชิงยิ่งรู้สึกช้ำใจ ทั้งเสียใจหนักขึ้นกว่าเดิมอย่างน่าประหลาด
ความจริงแล้วนางก็ไม่เข้าใจว่าที่แท้ตนเองต้องการให้เขาทำอย่างไรกันแน่ แต่แค่…แต่แค่มองไปที่เงาบนผนังที่ไม่ไหวติงของเขา น้ำตาก็ไหลออกมาราวกับธารน้ำอย่างไม่มีเหตุผล
ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ของนาง เซียวจิ้งยิ่งทำอะไรไม่ถูก เขายื่นมือออกไปครึ่งทางแล้วก็พลันชะงัก ครู่หนึ่งก็ดึงกลับมา มือข้างนั้นของเขายื่นออก หยุด ดึงเข้า ยื่นออก หยุด ดึงเข้า กลับไปกลับมาเช่นนี้หลายหน สุดท้ายถึงได้ถอนหายใจเบาๆ เรียกความกล้าจับใบหน้าของนางให้หันมาทางตนเอง
ประหลาดนัก ก็แค่การกระทำเรียบง่ายการกระทำหนึ่ง แต่เขาเองก็ถึงกับต้องเรียกความกล้าเชียวหรือ
เซียวจิ้งลอบงุนงงกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของตนเองอยู่ในใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเวลาเรื่องราวเกี่ยวข้องกับนางเมื่อไร เขาจะต้องทำตัวไม่ถูกทุกที
เขาช่วยเช็ดน้ำตาบนแก้มของนาง ก่อนเอ่ยปลอบเสียงทุ้มต่ำแฝงความปวดใจอยู่บ้าง
“อย่าร้อง…อย่าร้องเลย เจ้าไม่มีทางเป็นอะไรไป รอพวกเราไปถึงยังเมืองฉางอัน คนที่นั่นจะต้องช่วยรักษาเจ้าให้หายดีได้อย่างแน่นอน”
“ถ้าหาก…รักษาไม่หายเล่า” นางมองเขาด้วยปลายจมูกแดงก่ำ น้ำตานองหน้า บนใบหน้าแสดงความอ่อนแอและไร้กำลังอย่างหาได้ยาก
“ไม่มีทาง” เขาลูบใบหน้านางอย่างแผ่วเบา “พวกเขาจะต้องรักษาเจ้าให้หายดีได้อย่างแน่นอน”
“ข้า…” จั้นชิงมองใบหน้าอ่อนโยนของเขา ความหยิ่งทะนงที่จุกอยู่ในอกก้อนนั้นพลันสลายไป นางแนบใบหน้ากับฝ่ามืออบอุ่นของเขา ดวงตาหลุบลง กัดริมฝีปากเบาๆ เอ่ยความกลัวที่อยู่ในใจออกมา “ข้ากลัวนัก…”
“ไม่ต้องกลัว เจ้าจะไม่เป็นอะไร” เซียวจิ้งพยายามฝืนยิ้มออกมา อีกมือหนึ่งก็กุมมือนางแน่น ราวกับต้องการจะรับรองกับนางเช่นนั้น