แม้แต่ในตอนนี้ความซับซ้อนก็ยังคงมีอยู่
องค์ชายอี้หลางเริ่มไม่รังเกียจที่จะพบเจอเติ้งอิงมากเพียงนั้นแล้ว แต่ท่าทีที่เขามีต่อเติ้งอิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เขาจะให้เติ้งอิงทำความเคารพเขา หลังจากรับการทำความเคารพแล้วจึงจะสั่งให้เติ้งอิงลุกขึ้นมา
บางครั้งเขาทบทวนหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ หยางหวั่นนั่งอยู่ด้านข้างเป็นเพื่อนเขา เขากลับยอมให้เติ้งอิงเข้ามาในห้องหนังสือ แต่ไม่อนุญาตให้เติ้งอิงนั่ง เพียงอนุญาตให้ยืนคอยรับใช้อยู่หน้ากรอบช่องประตูสลักลายเหมือนกับขันทีฝ่ายในคนอื่นๆ ทุกครั้งที่หยางหวั่นเห็นเติ้งอิงยืนคอยรับใช้ นางก็จะลุกขึ้นแล้วไปยืนข้างเติ้งอิง เติ้งอิงเห็นนางทำเช่นนี้ แต่ต่อหน้าองค์ชายอี้หลางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร จึงได้แต่โบกมือห้ามนาง
บางครั้งองค์ชายอี้หลางก็ซักถามเติ้งอิงถึงเนื้อหาในหนังสือที่ไม่เข้าใจ
หยางหวั่นจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาถามความเห็นของเติ้งอิงเกี่ยวกับข้อมูลประวัติศาสตร์เรื่อง ‘สี่ฮ่องเต้สามยุคของสกุลหลิวแห่งราชวงศ์ฮั่นใต้’
หยางหวั่นจำได้รางๆ ว่า ‘สี่ฮ่องเต้สามยุคของสกุลหลิวแห่งราชวงศ์ฮั่นใต้’ พูดถึงภัยพิบัติจากขันทีที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่นใต้ ทำให้ราชวงศ์ฮั่นใต้ที่เจริญรุ่งเรืองเป็นมหาอำนาจก้าวไปสู่การเสื่อมถอยและล่มสลายลงในที่สุด
เติ้งอิงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วตอบ เขาพูดอะไรบางอย่างต่อหน้าองค์ชายอี้หลางที่ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของหยางหวั่นสั่นสะท้านไปหมด
เขาสอนให้องค์ชายอี้หลางยึดปฐมฮ่องเต้เป็นแบบอย่าง ตั้งป้ายเหล็กปฏิบัติตาม ‘โอวาทฝ่ายในของปฐมฮ่องเต้’ หากมีขันทีก้าวก่ายเรื่องการเมืองก็ให้ลงโทษด้วยวิธีที่รุนแรงที่สุดเพื่อสร้างความสั่นสะเทือนสยบราชสำนักฝ่ายใน
องค์ชายอี้หลางถามเขาว่า “ในฐานะฮ่องเต้จะให้อภัยได้หรือไม่”
เติ้งอิงตอบเขา “ไม่อาจให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายอี้หลางเงยหน้าขึ้นมองหยางหวั่นคราหนึ่ง ในดวงตามีแววสงสัยอยู่รางๆ
แต่เขาไม่ได้สอบถามหยางหวั่น ทว่าเลือกที่จะถามเติ้งอิงโดยตรง “ท่านเป็นขันที แต่คำพูดที่พูดกับข้าคล้ายกับคำพูดที่เหล่าขุนนางอรรถาธิบายพูดกับข้ายิ่ง แต่คำพูดและการกระทำของท่านไม่สอดคล้องกัน ในสายตาของข้า ท่านยังคงเป็นคนที่ไม่อาจให้อภัยได้ใน ‘โอวาทฝ่ายในของปฐมฮ่องเต้’ ”
พูดจบก็ลงมาจากม้านั่งสูง วางพู่กันลงเดินไปทางห้องด้านนอกแล้ว
หยางหวั่นก้มลงไปประคองเติ้งอิง
เติ้งอิงคุกเข่าตอบอยู่นาน ตอนยืนขึ้นจึงยืนได้ไม่มั่นคงนัก
“องค์ชายทรงอ่านประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นใต้ตั้งแต่เมื่อใด”
หยางหวั่นไม่สนใจคำพูดของเติ้งอิง มองข้อเท้าของเขาแล้วบอกว่า “หลายวันนี้ท่านไม่มีเวลาต้มยาแช่เท้าใช่หรือไม่”
“ใช่” เขาตอบหยางหวั่นตามตรง
หยางหวั่นบอกว่า “ต่อไปเมื่อข้าย้ายออกจากเรือนอู่ก็สามารถจับตาดูท่านได้แล้ว”
เติ้งอิงถามหยางหวั่น “เจ้าจะย้ายออกจากเรือนอู่แล้วหรือ”
“อืม” หยางหวั่นพยักหน้า “ดียิ่ง เมื่อก่อนอยู่เรือนอู่ห่างจากท่านไกลเพียงนั้น บัดนี้ได้อยู่ใกล้แล้ว”
“นี่เป็นความต้องการของใคร”
หยางหวั่นตอบ “เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท”
เติ้งอิงฟังจบก็พยักหน้า “หวั่นหวั่น รอเจ้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ข้าจะพาเจ้าไปดูเรือนที่ข้าซื้อไว้”
พูดถึงเรือนของเติ้งอิง หยางหวั่นก็แย้มยิ้มเบิกบานทันที “ได้หรือ แต่เวลานี้พระชายาไม่อยู่แล้ว ข้าจะออกจากวังได้อย่างไร”
เติ้งอิงยิ้มๆ “มีข้าย่อมทำได้”