หยางหวั่นได้ยินซ่งอวิ๋นชิงพูดเช่นนี้ก็รู้ว่าซ่งอวิ๋นชิงยังไม่รู้เรื่องที่เติ้งอิงยืมเงินเฉินฮว่าซื้อเรือน
“โสมคนกบหิมะอะไรกัน เขาไม่มีเงิน เกรงว่ายังสู้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ซ่งอวิ๋นชิงปล่อยหยางหวั่นแล้วเลิกคิ้วบอกว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าได้ยินเฉินฮว่าบอกว่าสำนักบูรพาเริ่มลงมือก่อสร้างคุกบนที่ดินทางทิศเหนือของประตูเจิ้งหยางแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่ที่ดิน ไม้ อิฐ หินก็เป็นเงินหลายหมื่นตำลึงแล้ว”
ที่ซ่งอวิ๋นชิงพูดเป็นเรื่องจริง หลังคดีเรือนเฮ่อจวี ท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่อกองเจิ้นฝู่เหนือก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ละครั้งระดับก็แตกต่างกันไป กระทั่งเป็นเพราะสถานการณ์ที่แตกต่างกันและพลิกเปลี่ยนโดยพลัน ดังนั้นจึงไม่มีบันทึกอย่างชัดเจนในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามนักวิจัยประวัติศาสตร์แต่ละยุคในอดีตได้ระบุช่วงระยะเวลาหลายช่วงคร่าวๆ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งซึ่งก็คือช่วงฤดูใบไม้ร่วงรัชศกเจินหนิงปีที่สิบสาม ฮ่องเต้เจินหนิงมีพระราชโองการอนุญาตให้สำนักบูรพาสร้างคุกของตนเองที่ประตูเจิ้งหยาง ภายหลังคุกแห่งนี้ถูกเรียกขานว่า ‘คุกสำนัก’
การก่อสร้างคุกแห่งนี้ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนการพิจารณาไต่สวนคดีให้อยู่นอกเหนือสามตุลาการ อำนาจของสำนักบูรพาค่อยๆ เทียบเท่ากองเจิ้นฝู่เหนือ เหล่านักวิจัยประวัติศาสตร์ต่างวิเคราะห์ว่าหลังจากคดีเรือนเฮ่อจวี ฮ่องเต้เจินหนิงเกิดความคลางแคลงเกี่ยวกับความปลอดภัยของตน เห็นว่าแม้องครักษ์เสื้อแพรจะขึ้นตรงต่ออำนาจฮ่องเต้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขุนนางฝ่ายนอก ในช่วงเวลาสำคัญก็มีหลักการของตนเอง ยากที่จะเข้าใจถึงเจตนาของเขาได้อย่างถ่องแท้ ทั้งยังยากที่จะมุ่งมั่นรักษาชีวิตของเขา ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ มอบอำนาจให้สำนักบูรพา อนุญาตให้สำนักบูรพาแทรกแซงเข้าไปในหน่วยองครักษ์เสื้อแพร การก่อสร้างคุกสำนักก็คือสัญลักษณ์ในครั้งนี้
การเข้ามาเกี่ยวข้องกับการลงโทษตามกฎหมายผ่านคุกสำนัก ชีวิตของเติ้งอิงก็พลิกเปิดมาที่บทของการมีส่วนร่วมพัวพันทางการเมือง
นอกจากหยางหวั่น นักวิจัยประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มีทัศนคติเชิงลบต่อการก่อสร้างคุกแห่งนี้ กระทั่งมีหลายคนเห็นว่านี่เป็นสถานที่ที่เลวร้ายยิ่งกว่าคุกหลวงขององครักษ์เสื้อแพร
เกี่ยวกับประเด็นนี้ แม้แต่หยางหวั่นก็ไม่อาจโต้แย้ง
เพราะหลังจากองค์ชายอี้หลางกับเติ้งอิงตายไปแล้ว ต่อมาภายใต้การปรับเปลี่ยนและความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของเหล่าขันที คุกของสำนักบูรพาได้กลายเป็นนรกในแดนมนุษย์แห่งหนึ่งที่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ให้ตรวจสอบได้ เมื่อเหล่าปัญญาชนหวนนึกถึงความเป็นมาของคุกแห่งนี้ย่อมต้องหยิบเศษเนื้อของผู้ก่อสร้างขึ้นมาโบยตีอีกครั้ง
“หยางหวั่น เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดจา”
หยางหวั่นยังคงจมจ่อมอยู่ในภวังค์ของตนเอง ซ่งอวิ๋นชิงกลับพบว่าขอบตาของนางดูเหมือนจะแดงเล็กน้อย
“คิดอะไรอยู่ คิดเสียจนทั่วทั้งร่างนิ่งขึงไปแล้ว”
“อ้อ…” หยางหวั่นกดหว่างคิ้ว “ไม่มีอะไร อาจเป็นเพราะยามกลางคืนนอนหลับได้ไม่ค่อยดี ตอนนี้จึงคิดฟุ้งซ่าน”
ซ่งอวิ๋นชิงยืนขึ้นแล้วบอกว่า “เช่นนั้นเจ้าก็นั่งพักเถิด ที่เหลือข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง เรียกคนที่อยู่ข้างนอกเหล่านั้นยกไปทีเดียว จะได้ไม่ต้องมาขนอีกรอบ” นางพูดจบก็ปิดหีบอย่างคล่องแคล่ว ผูกห่อสัมภาระให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตูพูดกับถานเหวินเต๋อ “เอาล่ะ พวกเจ้าเข้ามาขนเถิด ข้าขอพูดไว้ก่อน ของของแม่นางหยางล้วนประณีตล้ำค่า ถ้าพวกเจ้าไม่ระวังเพียงนิดเดียว ผู้บัญชาการของพวกเจ้าไม่ละเว้นพวกเจ้าแน่”
“ทราบแล้วๆ ท่านผู้บัญชาการของพวกเราก็รออยู่ที่ตำหนักเฉิงเฉียนเช่นกัน”