บทที่ 10.2 สายลมเย็นที่เฮาหลี่
ถานเหวินเต๋อแบกหีบเดินตามหยางหวั่นไปยังตำหนักเฉิงเฉียน
เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ปกติก็พูดมาก คราวนี้จึงถือโอกาสพูดจาตลกขบขัน ยั่วเย้าหยางหวั่นให้หัวเราะไปตลอดทาง
ถานเหวินเต๋อฉวยโอกาสที่หยางหวั่นเบิกบานใจ คิดจะเอ่ยถ้อยคำดีๆ แทนเติ้งอิงสักหลายคำ
“แม่นางหยาง”
“หืม?”
ถานเหวินเต๋อขยับหีบบนไหล่ตน “ท่านเคยไปดูเรือนของท่านผู้บัญชาการเราแล้วหรือยัง”
หยางหวั่นเดินไปพลางบอกไปพลาง “ยัง ได้ยินว่าท่านเป็นคนไปจัดการให้หรือ”
ถานเหวินเต๋อยิ้มแล้วบอกว่า “หรือมิใช่เล่า สถานที่แห่งนั้นทิศทางด้านหน้าก็ไม่เลว เพียงแต่รู้สึกว่าเล็กไปสักหน่อย คิดอยู่ว่าไม่ว่าอย่างไรท่านผู้บัญชาการก็ควรหาเรือนคั่นสองให้ตนเองสักหลัง เรือนคั่นเดียวนี่…ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ออกจะคับแคบไปสักหน่อย”
หยางหวั่นยิ้มแล้วบอกว่า “เรือนคั่นเดียวก็ดี ปลอดโปร่ง ยามเก็บกวาดก็ไม่เปลืองแรงมาก”
ถานเหวินเต๋อรีบบอกว่า “จะให้แม่นางเก็บกวาดได้อย่างไร วันหน้าเมื่อท่านกับท่านผู้บัญชาการของเราเข้าไปอยู่แล้ว มิใช่ต้องซื้อคนมาช่วยงานสักหลายคนหรือ”
หยางหวั่นหันหน้ามากล่าวยิ้มๆ “พวกท่านให้เขาซื้อคน เวลานี้ซื้อคนคนหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไรหรือ”
“ต้องใช้เงินสิบกว่าตำลึง ทั้งยังต้องดูรูปร่างลักษณะอีกว่าเป็นอย่างไร”
หยางหวั่นยิ้มแล้วบอกว่า “แล้วผู้บัญชาการของพวกท่านเดือนหนึ่งได้เบี้ยหวัดเท่าไร”
“เอ่อ เรื่องนี้…” ถานเหวินเต๋อเกือบสะดุดล้มเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขาเอ่ยลากเสียง ลังเลอยู่ว่าควรเปิดเผยข้อเสียของเติ้งอิงต่อหน้าหยางหวั่นหรือไม่
กฎเกณฑ์ข้อห้ามที่เติ้งอิงมีต่อคนเหล่านี้มีเพียงขีดต่ำสุดอย่างเดียวคือไม่อาจทำร้ายชีวิตผู้คนตามใจชอบ ปกติแล้วจะไม่ขัดขวางเจ้าหน้าที่ในบังคับบัญชาเก็บ ‘เงินค่าดำเนินการ’ จากขุนนางกับราษฎร แต่ดูเหมือนว่าตัวเขาเองไม่เคยเรียกร้อง แม้จะรับมา แต่หลังจากนั้นก็จะเอาให้เจ้าหน้าที่สำนักบูรพาไปแบ่งกัน ผู้คนต่างบอกว่าสำนักกิจการฝ่ายในได้รับสิ่งของและเงินปูนบำเหน็จไม่น้อย แต่เมื่อถานเหวินเต๋อดูจากค่าใช้จ่ายการกินอยู่ของเติ้งอิงในยามปกติก็ดูท่าทางไม่เหมือนคนมีเงิน หลายวันที่ผ่านมาถานเหวินเต๋อกับเจ้าหน้าที่สำนักบูรพาหลายคนคิดจะช่วยเขาซื้อเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่ง แต่พอเหล่าเจ้าหน้าที่เห็นว่าเติ้งอิงต้องการจะจ่ายเงินเอง มือไม้ก็ขยับไม่ค่อยออก
“เอ่อ…เบี้ยหวัดของท่านผู้บัญชาการราชสำนักฝ่ายในเป็นผู้จ่าย พวกเราไม่ค่อยรู้…”
หยางหวั่นกล่าวต่อ “เขาไม่มีเงินเท่าไร อีกทั้งเขาก็ไม่มีทางไปซื้อคนมาเป็นบ่าวให้เรียกใช้สอย”
“ใช่ ข้าไม่มีเงิน”
หยางหวั่นกับถานเหวินเต๋อได้ยินคำพูดประโยคนี้ต่างก็ตกตะลึง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเติ้งอิงกำลังเดินมาทางพวกเขา
วันนี้เขาไม่ได้สวมชุดขุนนาง เพียงสวมเสื้อหลันซานสีหยกเหมือนบัณฑิตทั่วไป เกล้าผมไว้บนศีรษะ ไม่ได้สวมหมวกผ้า
ถานเหวินเต๋อกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย กัดฟันพลางเอ่ยขึ้น “ผู้น้อยไม่ได้บอกว่าท่านผู้บัญชาการยากจน เพียงแต่…”
“ไม่ผิด ข้าในเวลานี้ยากจนยิ่ง”
“ไม่ใช่ ท่านพูดเช่นนี้…” ถานเหวินเต๋อถูกความจริงใจของเติ้งอิงทำเอาทึ่มทื่อไป จำต้องฝืนเปลี่ยนเรื่องพูด “ท่านไม่ใช่อยู่ที่ตำหนักเฉิงเฉียนหรือขอรับ เหตุใดถึงมาที่นี่แล้ว”
“อ้อ” เติ้งอิงรับคำแล้วม้วนแขนเสื้อขึ้น “ข้ามาดูว่าพอจะช่วยยกอะไรได้บ้างหรือไม่”
เจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านหลังถานเหวินเต๋อต่างส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน “จะใช้แรงงานท่านได้อย่างไร”
หยางหวั่นยิ้มพลางบอกว่า “วันนี้ท่านสวมใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนมาทำงาน”
เติ้งอิงกระชับชายแขนเสื้อ ยิ้มพลางมองหยางหวั่น “แล้วเหมือนอะไร”
หยางหวั่นบอก “เหมือนจะเข้าสนามสอบเคอจวี่ในฤดูใบไม้ร่วง”
เติ้งอิงหัวเราะออกมา “สำนักซุ่นเทียน* กำลังตั้งกระโจมสอบในระดับมณฑล อยากไปดูหรือไม่”
“กระโจมสอบหรือ” หยางหวั่นกล่าวอย่างสงสัย “เหตุใดเพียงตั้งกระโจมสอบ หรือว่าไม่ได้สร้างเฮ่าจื่อ”
เติ้งอิงฟังแล้วพยักหน้า “เดิมทีควรจะสร้าง แต่เมืองหลวงและกำแพงเมืองโดยรอบยังสร้างไม่เสร็จ เงินทองมีจำกัด ตอนนี้เราทำได้เพียงใช้ไม้กระดานกับเสื่อกกตั้งกระโจมสอบ ล้อมรอบด้วยพุ่มไม้เตี้ยที่มีหนาม ผู้คนต่างบอกว่าสนามสอบในเมืองหลวงสร้างดีสู้ร้านหนังสือที่อยู่โดยรอบยังไม่ได้”
นี่กลับทำให้หยางหวั่นเกิดความสนใจขึ้นมา “ร้านหนังสือที่อยู่บริเวณนั้นมีร้านอะไรบ้าง วันนี้ไปดูได้หรือไม่”
เติ้งอิงรับคำ “ข้าเอาป้ายงาช้างมาแล้ว พาเจ้าออกไปได้”
หยางหวั่นหันไปมองข้าวของของตนคราหนึ่ง ใบหน้าแฝงแววลังเล
ถานเหวินเต๋อเห็นเช่นนี้ก็รีบบอกว่า “ท่านออกไปกับท่านผู้บัญชาการของเราเถิด ของเหล่านี้ข้าจะมอบให้แม่นางเหออวี้ รับรองไม่เสียหาย”
หยางหวั่นคลี่ยิ้มแล้วบอกว่า “เช่นนั้นก็ได้…พวกท่านระวังหน่อยเล่า” พูดจบก็เดินไปถึงด้านข้างเติ้งอิงแล้วใช้ศอกสะกิดเขา “รีบไปๆ”
เติ้งอิงหันมามองหยางหวั่นคราหนึ่ง นางมีสีหน้าสดใส ดวงตาเป็นประกายแวววาว
พูดไปแล้วตั้งแต่คดีเรือนเฮ่อจวีจนถึงวันนี้ เขาไม่ได้เห็นหยางหวั่นยิ้มแย้มเช่นนี้นานมากแล้ว