ที่ทำการสำนักซุ่นเทียนตั้งอยู่ที่หอกลองทางทิศเหนือของเมืองในถนนตงกงของถนนตงต้า ในละแวกหอกลองมีร้านหนังสือที่จัดพิมพ์หนังสืออยู่หลายแห่ง ในบรรดาร้านหนังสือเหล่านี้ร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดคือร้านควนฉินถังของสกุลโจวและร้านชิงปอก่วนของสกุลฉี ร้านหนังสือทั้งสองแห่งนี้ดำเนินกิจการสืบต่อกันมานับร้อยปีแล้ว ไม่เพียงใหญ่โต แต่ขอบข่ายในการจัดพิมพ์ก็กว้างขวางมากอีกด้วย
การพิมพ์ในสมัยราชวงศ์หมิงเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก แม้จะมีช่องโหว่ด้านการบริหารจัดการมากมาย แต่ขณะเดียวกันก็มีอิสรเสรี การพิมพ์จะแบ่งเป็นการพิมพ์ของทางการ การพิมพ์ส่วนตัว และการพิมพ์ของร้านหนังสือ เติ้งอิงเป็นคนที่ชอบซื้อหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาชอบซื้อหนังสือฉบับพิมพ์ส่วนตัวของบัณฑิตนิรนามในร้านหนังสือเป็นพิเศษ
แต่หยางหวั่นกลับไม่เคยไปร้านหนังสือเหล่านี้ หลังลงจากรถม้าก็ดึงเติ้งอิงตรงไปที่ร้านชิงปอก่วน สองวันก่อนอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของเติ้งอิงเพิ่งกำเริบครั้งหนึ่ง เวลานี้ยามเดินออกจะไม่ค่อยคล่อง แต่ก็ไม่อยากบอกหยางหวั่นว่า ‘ช้าลงหน่อยเถิด’ ได้แต่มองเงาด้านหลังนางพลางยิ้มเจื่อนอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผู้คนที่เดินผ่านร้านหนังสือเห็นภาพนี้เข้าต่างก็หัวเราะแล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์
“นายท่านผู้นี้นิสัยดียิ่ง ยอมตามใจแม่นางน้อย”
เติ้งอิงได้ยินคำพูดนี้แล้วใบหูก็ร้อนผ่าวเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเรียกหยางหวั่น
“หวั่นหวั่น”
“หืม?” หยางหวั่นหันกลับมาเห็นเขาใบหน้าซีดขาวเล็กน้อยก็รีบบอกว่า “ข้อเท้าเจ็บอีกแล้วใช่หรือไม่”
“ก็เจ็บอยู่บ้าง”
หยางหวั่นหยุดเดิน “เหตุใดถึงไม่บอกเล่า”
เติ้งอิงบอกว่า “เห็นเจ้าตื่นเต้นเพียงนั้น”
หยางหวั่นประคองแขนเติ้งอิง “เดินเช่นนี้เถิด ท่านเอนพิงข้า”
“เจ้าไม่เหนื่อยหรือ”
หยางหวั่นสั่นศีรษะ “ไม่เหนื่อย ท่านไม่ต้องสนใจข้า พิงมาเถิด ท่านผ่ายผอมเพียงนี้ ข้าประคองท่านไหว”
เติ้งอิงก้มหน้ามองใบหน้าด้านข้างของหยางหวั่น “หวั่นหวั่น”
“ท่านพูดมาเถิด”
“เหตุใดเจ้าถึงสนใจร้านชิงปอก่วนเพียงนี้”
หยางหวั่นไม่ได้ตอบคำถามเติ้งอิงในทันที แต่นางหวนนึกถึงคำพูดที่นางเคยพูดกับตนเองไว้ว่า ‘จะคิดเล็กคิดน้อยเพื่อเขา จะต่อสู้ด้วยพู่กันหมึกเพื่อเขา’
พู่กันหมึกคืออะไร
ในราชสำนักต้าหมิง พู่กันหมึกก็เหมือนกับกองกำลังทหาร ล้วนเป็นอาวุธที่แหลมคม เป็นปากเสียงของปัญญาชน เป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ของราษฎรในใต้หล้า เป็นสิ่งที่อำนาจฮ่องเต้พยายามเค้นคอให้ตาย แต่ทำอย่างไรก็สังหารไม่หมด
“ร้านชิงปอก่วนเคยแกะแม่พิมพ์ตีพิมพ์บทความของท่านหรือไม่”
เติ้งอิงพยักหน้า “เคย เมื่อก่อนนี้”
“บทความใดหรือ”
“ ‘จดหมายถึงจื่อซีช่วงท้ายปีกุ่ยโฉ่ว’ ” เขาพูดจบก็เงยหน้ามองไปที่แผ่นป้ายเหนือประตูร้านชิงปอก่วน “ตอนนั้นข้ากับจื่อซีคบหากันอย่างสนิทสนม แลกเปลี่ยนบทกวีและบทความกันมากมาย ทว่าต่อมาข้าเข้าคุกใหญ่ของกรมอาญา บทความของข้าไม่อาจเผยแพร่ได้อีกต่อไป แม่พิมพ์ที่แกะไว้ช่วงก่อนหน้านี้เวลานี้อาจถูกเผาทิ้งไปแล้ว”
หยางหวั่นตกตะลึง
ความจริงแล้วร้านชิงปอก่วนได้เก็บรักษาแม่พิมพ์ ‘จดหมายถึงจื่อซีช่วงท้ายปีกุ่ยโฉ่ว’ ไว้ ภายหลังร้านชิงปอก่วนได้ย้ายไปยังก่วงโจวและเอาแม่พิมพ์ไปที่ก่วงโจวด้วย ต่อมาแม่พิมพ์นี้ได้เปลี่ยนมือหลายครั้งแล้วหลุดรอดออกไปนอกประเทศ แต่หยางหวั่นเคยเห็นภาพถ่ายของแม่พิมพ์นี้ในพิพิธภัณฑ์ที่ก่วงโจว
“อาจไม่ได้เผาทิ้งก็เป็นได้” หยางหวั่นประคองแขนเติ้งอิง คลี่ยิ้มสดใสให้เขา “ไปดูกัน”
เติ้งอิงพยักหน้า ยิ้มพลางตอบรับ “ได้”
ด้านหน้าร้านชิงปอก่วนเป็นร้านค้า ส่วนด้านหลังเป็นโรงพิมพ์ หน้าร้านมีแผงขายตัวอย่างข้อสอบช่วงก่อนการสอบเคอจวี่ บรรยากาศดูคึกคักอย่างยิ่ง เติ้งอิงหยุดฝีเท้ากวาดตามองหนังสือบนแผง ขณะที่หยางหวั่นเงยหน้าถามเขา