บทที่ 10.3 สายลมเย็นที่เฮาหลี่
หยางหวั่นประคองเติ้งอิงนั่งลง ส่วนตนเองกลับรวบชายกระโปรงนั่งยองๆ ลงไป
เติ้งอิงรีบบอกว่า “ทำอะไร”
หยางหวั่นยื่นมือไปเลิกชายเสื้อของเขาขึ้น “ฉวยโอกาสในช่วงนี้ช่วยท่านอังข้อเท้าให้อุ่น”
เติ้งอิงรีบก้มลงไปปิดข้อเท้าของตน หยางหวั่นบิดหลังมือเขา ดึงดันจะให้เขาเอามือออกไป
“เชื่อฟังข้า เติ้งอิง”
เติ้งอิงชะงัก “ข้าไม่อาจ…”
“แสร้งเป็นสามีภรรยากันก็แสร้งให้แนบเนียนสักหน่อย”
นางพูดตัดบท พอพูดจบก็ใช้สองมือกุมข้อเท้าของเติ้งอิงไว้ ใช้ความอบอุ่นจากอุ้งมือช่วยเขาต่อต้านความเจ็บปวดพลางกล่าวยิ้มๆ
“วันนี้มาที่นี่มีผลให้เก็บเกี่ยวจริงๆ”
เติ้งอิงมองมือที่กุมข้อเท้าตนอยู่เบาๆ เม้มปากแล้วเอ่ยว่า “เพราะเหตุใด…จะต้องดูแม่พิมพ์นั่น”
หยางหวั่นก้มหน้ากล่าวเสียงอ่อนโยน “อยากให้ท่านรู้ว่าแม้ท่านไม่อาจเขียนบทความได้อีก แต่อดีตที่ผ่านมาของท่านหาได้ถูกลบทิ้งไป ท่านมีร่องรอยให้ติดตาม อีกทั้งในยุคสมัยหลังก็มีคนติดตามร่องรอย” นางพูดจบก็เงยหน้า “เติ้งอิง ต่อไปถ้าท่านอยากเขียนบทความก็เขียนเถิด เขียนแล้วข้าจะคัดลอกให้เอง”
เติ้งอิงยิ้มแล้วบอกว่า “เจ้าคัดลอกแล้วก็มีแต่เจ้าที่อ่าน”
หยางหวั่นกำลังจะตอบ แต่พลันได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากหลังฉากบังลมที่อยู่ด้านหลัง
“เถ้าแก่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เรื่องนี้เราก็เจรจากันได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือรอเถ้าแก่ของพวกเจ้ากลับมาแล้วข้าจะมาอีกครั้งเพื่อคุยรายละเอียดกับเขา”
หยางหวั่นลุกขึ้น เอียงกายหลบอยู่ด้านหลังฉากบังลมแล้วมองไปยังประตูที่เชื่อมต่อกับเรือนด้านหลัง
เติ้งอิงถามเสียงเบา “ใครหรือ”
หยางหวั่นบอก “ผางหลิง ขันทีข้างกายเจี่ยงเสียนเฟย”
นางเพิ่งพูดจบก็ได้ยินคนของร้านหนังสือบอกว่า “เรื่องนี้ความจริงแล้วหลงจู๊ของเราก็ตัดสินใจได้ แค่เพิ่มผู้มีคุณธรรมเข้าไปตรงท้ายหนังสือ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ อีกคน หนังสือเล่มนี้ร้านชิงปอก่วนเรายังไม่ได้กำหนดแบบพิมพ์แน่นอน ไม่ใช่เรื่องยาก”
หยางหวั่นได้ยิน ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ก็อดตกตะลึงไม่ได้
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยบัณฑิตชื่อตู้เหิงในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นบันทึกสนมชายาผู้มีคุณธรรมทั้งห้าคนในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่หนังสือที่มีชื่อเสียงมากนักและไม่ได้รับการสืบทอดต่อมา สาเหตุไม่รู้แน่ชัด หยางหวั่นเคยเห็นชื่อหนังสือเล่มนี้ในข้อมูลปลีกย่อยทางประวัติศาสตร์
“เติ้งอิง”
“หืม?”
“ผางหลิงผู้นี้ ท่านให้เจ้าหน้าที่สำนักบูรพาจับตาดูเขาไว้”
“เพราะเหตุใด”
หยางหวั่นเม้มปาก “ข้ายังพูดได้ไม่แน่ชัด รอข้ารู้ให้แน่ชัดเสียก่อน อาจเป็นเหมือนเรื่องของขันทีตรวจฎีกาเจิ้งที่สายเกินไปเสียแล้ว”
เติ้งอิงยืนขึ้นแล้วเดินไปยังด้านหลังหยางหวั่น มองตามสายตาของนางไปที่ด้านหลังฉากบังลม “คนที่เขียน ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ข้ารู้จัก”
หยางหวั่นหันหน้ามา “ใครหรือ”
เติ้งอิงก้มหน้าลงมองนาง “เจ้าก็รู้จัก น้องชายของเจ้า หยางจิง”
“อะไรนะ!” หยางหวั่นได้ยินชื่อหยางจิงก็เกือบควบคุมเสียงของตนไม่อยู่ “ไม่ใช่ตู้เหิงเขียนหรือ”
เติ้งอิงก้มหน้าลงมองนาง “เจ้าหมายถึงตู้เหิงฝ่ายเรียบเรียงตรวจสอบของกองอาลักษณ์หรือ”
หยางหวั่นกล่าวด้วยความสงสัย “ยังมีตู้เหิงอื่นอีกหรือ”
เติ้งอิงสั่นศีรษะ “คนผู้นี้ป่วยหนัก ไม่ได้อยู่ที่กองอาลักษณ์มากว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ เขียนเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เนื้อหาทั้งหมดไม่ยาว ผู้เขียนน่าจะใช้เวลาเขียนราวสิบวัน เพราะเหตุใดเอ่ยถึงตู้เหิงผู้นี้”
จะตอบอย่างไรดี
จะบอกเขาว่าข้อมูลประวัติศาสตร์กับความเป็นจริงไม่สอดคล้องกันหรือ
หยางหวั่นอกสั่นขวัญแขวน จับขอบฉากบังลมไว้แน่นด้วยจิตสำนึก