เขารับสมุดรายชื่อมาพลิกดูสองหน้า ปากก็พูดว่า ‘ครั้งนี้ข้าไม่ดูแล้ว รอปีหน้าค่อยว่ากันเถิด ถ้าไม่ดีค่อยลงมีดอีกครั้ง ถ้าดีก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้คนได้รับความทุกข์ทรมานเสียตั้งแต่ตอนนี้’
เติ้งอิงยืนสองมือแนบลำตัวอยู่เบื้องหน้าเจิ้งเยวี่ยจยา ผิวกายทั่วร่างเปิดโล่งอยู่ในความหนาวเย็นบางเบาของยามต้นฤดูใบไม้ผลิ
เจิ้งเยวี่ยจยาปิดสมุดรายชื่อ ตบมือแล้วกล่าวกับทุกคนที่เข้ารับการตรวจสอบร่างกายในห้องโถงว่า ‘พวกเจ้าสวมเสื้อผ้าเถิด’ พอพูดจบก็หันกายเดินออกไป
เติ้งอิงสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เดินออกจากห้องโถงด้านหลังของกรมพิธีการไปพร้อมกับผู้เข้ารับการตรวจสอบร่างกายคนอื่นๆ
ผู้คนพูดคุยกันเบาๆ ถึงวิธีพักฟื้นหลังถูกลงมีด…ทั้งกินอาหารรสเผ็ดให้น้อยลง หมั่นทำความสะอาด ฝึกฝนบ่มเพาะตนเอง อย่าคิดเพ้อฝันว่ายังจะสามารถอยู่ร่วมกับสตรีได้อีก วันหน้าเมื่อมีเงินแล้วค่อยซื้อคนมาคอยดูแลปรนนิบัติเรื่องการกินการอยู่ เพียงเท่านี้ก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้เช่นกัน
ทุกคนต่างเข้าใจเหตุผล แต่ความต้องการด้านอินหยางกลับไม่มี ‘เหตุผล’
ความต้องการเช่นนี้ไม่ได้คงอยู่เพื่อ ‘สร้าง’ แต่มีไว้เพื่อ ‘ทำลาย’
ยามนี้หัวเข่าทั้งสองข้างของหยางหวั่นยันอยู่ตรงส่วนท้องของเติ้งอิง แม้ไม่มีความปรารถนา แต่กลับทำให้เขานึกถึงภาพลักษณ์ร่างกายส่วนล่างที่พังทลายของตนอีกครั้ง บางที ‘ความน้อยเนื้อต่ำใจ’ และ ‘ความรังเกียจตนเอง’ เดิมทีก็เป็นเพียงกรอบที่บิดเบี้ยวอย่างหนึ่ง เติ้งอิงนอนอยู่ข้างๆ หยางหวั่น แผ่นหลังค่อยๆ มีเหงื่อซึมออกมา
หลังจากถูกลงทัณฑ์เขาก็เป็นคนกลัวความหนาวเย็นมาโดยตลอด นอกจากความเจ็บปวดแล้ว ปกติก็แทบไม่มีเหงื่อไหล อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่ชอบความเหนียวเหนอะหนะบนร่างกายเพราะรู้สึกไม่สะอาด แต่เวลานี้ประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ทำลายความปกติของเขาไปอย่างไร้สุ้มเสียงแล้ว
เติ้งอิงหลับตาลงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร หวนนึกถึงคำสาบานที่เขาให้ไว้กับหยางหลุนครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่าตรงบริเวณที่มืดสลัวในผ้าห่ม หัวเข่าคู่นั้นกลับเสียดสีถูกผ้าแพรที่อยู่ตรงร่างกายท่อนล่างของเขา เติ้งอิงระบายลมหายใจออกมาจากในปอดทันที ทั้งร่างคล้ายถูกสูบโลหิตออกไปจนแห้งเหือด ร่างแข็งทื่อราวกับไม้ฟืนที่เปียกชุ่ม
เขาบอกไม่ถูกว่าเจ็บปวดที่ใด แต่ก็เจ็บปวดจนไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
“หวั่นหวั่น…” เขาเรียกหยางหวั่นด้วยจิตสำนึก
มือที่เดิมทีวางอยู่บนเอวของเขาค่อยๆ เคลื่อนไปวางตรงหว่างขาทั้งสองข้าง สัมผัสบาดแผลเก่าของเขาไว้อย่างอบอุ่นโดยมีกางเกงตัวในที่ทำจากผ้าแพรขวางกั้นอยู่
โลหิตที่ถูก ‘สูบจนแห้งเหือด’ เหล่านั้นไหลกลับเข้าสู่แขนขาและกระดูกทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เขาร่างสั่นสะท้าน แต่ความเจ็บปวดในร่างกายกลับค่อยๆ ลดลง
“เติ้งอิง แล้วท่านจะค่อยๆ ดีขึ้น” หยางหวั่นกล่าวคำนี้จบก็เม้มปากหลับตาลง
โชคดีที่เสียงฝนนอกหน้าต่างยังไม่หยุด ความหนาวเย็นดับแรงปรารถนาของคน นางจึงไม่ถึงกับหน้าแดงจมูกร้อน
ความจริงแล้วนางไม่จำเป็นต้องให้เติ้งอิงอดทน แต่ตัวนางเองกลับต้องอดทน
นี่เป็นขอบเขตที่นางมีต่อเติ้งอิง ทั้งยังเป็นขอบเขตที่นางมีต่อยุคสมัยนี้ด้วย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ก.ค. 68