การวิจัยประวัติศาสตร์ที่แท้ยากเย็นเพียงใด นางจมจ่อมอยู่กับสิ่งนั้นมาสิบปี ได้ลิ้มรสความยากลำบากมาอย่างเต็มที่
ตอนเริ่มเขียนบันทึกเรื่องราวในรัชศกเจินหนิง นางเคยสร้างกรอบของการบันทึกเอาไว้ ทว่าในเวลาสั้นๆ เพียงสองปีในกรอบของงานกลับมีช่องโหว่ปรากฏขึ้นมากมาย ถูกผู้อยู่เบื้องบนในตอนนั้นลบทิ้งอย่างฉับพลันทันที และจุดที่ถูกชนรุ่นหลังแก้ไขก็มีมากมายนับไม่ถ้วน จากมุมมองนี้เห็นได้ชัดว่าเอกสารด้านประวัติศาสตร์ที่ส่งต่อมาถึงยุคปัจจุบัน แม้จะมีคุณค่าอย่างยิ่ง แต่ตัวอักษรที่น่าเชื่อถือกลับมีไม่มากนัก
“เอ่อ…ฮูหยินท่านนี้” หลงจู๊ไปส่งคนกลับมา เห็นหยางหวั่นยืนเหม่อลอยอยู่หน้าฉากบังลม กำลังจะก้าวเข้าไปเรียกนาง แต่กลับถูกเติ้งอิงขวางไว้
“มีคำพูดอะไรก็พูดกับข้า”
“อ้อ…ขอรับ พูดกับนายท่านก็เหมือนกัน ข้าไปหาแม่พิมพ์ที่ฮูหยินพูดถึงเมื่อครู่ ยังอยู่ ข้าจะให้คนไปเอามาให้ฮูหยินดูเดี๋ยวนี้”
“ดี” เติ้งอิงมองไปที่หน้าประตูคราหนึ่ง ถือโอกาสเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เมื่อครู่ข้าคล้ายได้ยินว่าร้านชิงปอก่วนของพวกเจ้าจะพิมพ์ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ หรือ”
หลงจู๊ได้ยินเขาถามเช่นนี้ก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อย “เรื่องนี้…”
หยางหวั่นที่อยู่ด้านข้างกล่าวต่อคำพูดของเติ้งอิง “ร้านควนฉินถังก็พิมพ์ ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ แม้พวกท่านจะพิมพ์ต่างฉบับกัน แต่ก็ออกจำหน่ายในเวลาเดียวกัน จะได้กำไรอะไร”
หลงจู๊เห็นนางถามเช่นนี้ก็ไม่กล้าตอบอีก ถอยไปหลายก้าว มองประเมินคนทั้งสองอย่างรอบคอบระมัดระวัง
“พวกท่าน…เป็นใคร…กันแน่”
หยางหวั่นเอามือกอดอก เลิกคิ้วบอกว่า “คนของกองเจิ้นฝู่เหนือ”
“อะ…อะไรนะ” ใบหน้าของหลงจู๊ซีดเผือดทันที
หยางหวั่นไม่ใส่ใจคำพูดเหลวไหลของตนโดยสิ้นเชิง “ท่านไม่เชื่อใช่หรือไม่” นางพูดพลางยกมือชี้ไปที่ด้านนอก “ตอนนี้ท่านสามารถก้าวออกไปได้ ทว่าเมื่อท่านออกจากประตูนี้ไปแล้วก็ต้องเปลี่ยนสถานที่ไต่สวนเท่านั้นเอง”
หลงจู๊ฟังคำพูดของนางจบก็มองไปที่ด้านนอกอย่างเงอะงะ
ตลาดหนังสือในการสอบเคอจวี่ฤดูใบไม้ร่วงของสำนักซุ่นเทียนยามนี้กำลังคึกคักอย่างยิ่ง หยางหวั่นเคาะหน้าฉากบังลม หัวเราะเยาะหยันออกมาแล้วก้าวเท้าเดินออกไปทางด้านนอก
หลงจู๊รีบคุกเข่าลงทันที “ใต้เท้าทั้งสองได้โปรดมอบทางรอดสักทาง เถ้าแก่ของเราลงใต้ไปเยี่ยมญาติยังไม่กลับมา ข้า…ประหวั่นใจยิ่ง”
หยางหวั่นหยุดฝีเท้า เติ้งอิงพูดไปตามสถานการณ์ “พาพวกเราไปพูดคุยข้างใน”
“ขอรับ…ข้าจะพาใต้เท้าทั้งสองท่านเข้าไปเดี๋ยวนี้”
ด้านหลังร้านชิงปอก่วนคือโรงพิมพ์ หลงจู๊พาหยางหวั่นกับเติ้งอิงเข้าไปที่ห้องโถงด้านหลังในโรงพิมพ์ ปิดประตูห้องโถงด้วยตนเอง ไม่กล้ายืนอยู่อีก ได้แต่คุกเข่าลงบนพื้นพลางกล่าวเสียงสั่น
“ใต้เท้าทั้งสองเชิญถามมาได้”
หยางหวั่นถามว่า “เมื่อครู่คนที่ออกไปผู้นั้นคือใคร”
“อ้อ ข้าได้เห็นป้ายงาช้างของเขา เขาเป็นคนในวังขอรับ”
“ตำหนักใดหรือ”
“บอกว่าเป็นตำหนักเฉิงเฉียน”
หยางหวั่นขมวดคิ้ว “ตำหนักเฉิงเฉียนหรือ”
หลงจู๊ตกใจจนหัวไหล่สั่นสะท้าน “ใช่ขอรับ…ขะ…เขาบอกเช่นนี้”
เติ้งอิงถามขึ้น “เขามาปรึกษาเจ้าเรื่องอะไร”
หลงจู๊รีบบอกว่า “ข้าไม่กล้าปิดบัง เขาบอกว่าระยะนี้พระชายาแห่งตำหนักเฉิงเฉียนสุขภาพไม่ค่อยดี พักรักษาตัวอยู่ที่อุทยานกล้วย ตั้งใจจะสร้างคุณงามความดี สั่งสอนกล่อมเกลาสตรีในใต้หล้า ดังนั้นจึงต้องการเขียนคำนิยมใน ‘ชีวประวัติห้าผู้มีคุณธรรม’ ใต้เท้า เมื่อครู่พวกท่านบอกว่าร้านชิงปอก่วนเราจะได้กำไรอะไรไม่ใช่หรือ นี่เป็นคำนิยมที่เขียนโดยพระชายาผู้สูงศักดิ์ในวัง เช่นนี้ร้านควนฉินถังจะเทียบกับฉบับนี้ของร้านชิงปอก่วนเราได้อย่างไร มีคำนิยมของพระชายาย่อมเป็น ‘ชีวประวัติหกผู้มีคุณธรรม’ ของสนมชายาผู้มีคุณธรรมทั้งหกคนแล้ว เรายังต้องกลัวว่าจะขายสู้ร้านควนฉินถังไม่ได้หรือ!”
เติ้งอิงบอก “เอาคำนิยมนั้นออกมา”
หลงจู๊ไม่กล้าเมินเฉยแม้แต่ครู่เดียว รีบไปหยิบคำนิยมนั้นมาให้ทันที